ทัวร์พม่า...สัมผัสดินแดนแห่งมนต์เสน่ห์
ทัวร์พม่า...สัมผัสดินแดนแห่งมนต์เสน่ห์
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอมขอขอบคุณภาพประกอบจาก
คุณ ykumsri สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม "พม่า" หรือ
"สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา"
ประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นสังคมปิดมานานหลายปี
แต่หลังจากเปิดประเทศอย่างเป็นทางการในรอบ 50 ปี
พร้อมกับกำลังจะเข้าร่วมเป็นประชาคมอาเซียนด้วยแล้ว ทำให้นักเดินทางหลาย ๆ
คน อยากเดินทางไปสัมผัสกับความเจิดจรัสของดินแดนแห่งนี้
เพราะถือเป็นแหล่งร่ำรวยอารยธรรมที่อุดมไปด้วยโบราณสถาน เมืองโบราณ
และมหาบูชาสถานศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่ยังคงความงดงามไว้เหมือนอดีตกาล
อาจเพราะพม่าได้ชื่อว่าเป็นชนชาติที่ยึดมั่นคำสอนในพระพุทธศาสนา
อย่างเหนียวแน่นที่สุดชาติหนึ่งในโลก
ดังนั้น วันนี้กระปุกท่องเที่ยวเลยจะพาเพื่อน ๆ ไป "ทัวร์พม่า" เพื่อชมความงดงามของดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ผ่านบันทึกการเดินทางและภาพถ่ายในมุมมองสวย ๆ ของ คุณ ykumsri สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม กันค่ะ งานนี้รับรองว่าหากดูจบ...คุณจะรีบเคลียร์งานพร้อมกับเก็บกระเป๋าแล้วออกไปเที่ยวพม่าในทันที ^^
พม่า...ประเทศเพื่อนบ้านที่น่าสนใจ เที่ยวไม่ยาก
ราคาไม่แพง เป็นอีกประเทศหนึ่งที่คุ้มค่าการเดินทาง
เหมาะสำหรับทุกท่านที่มีเวลาจำกัด ค่าใช้จ่ายไม่มากนักครับ
ทริปนี้เรารวมกลุ่มเพื่อนได้สิบเอ็ดคน
เราจึงเลือกที่จะหามืออาชีพทางพม่าช่วยเรา จะได้ไม่ยุ่งยากเสียเวลา
โดยเราหวังว่าจะได้เที่ยวครบตามเส้นทางหลัก ๆ ที่เรากำหนดให้เขาไป
โดยเขาสามารถเสริมสิ่งที่คิดว่าเหมาะสมให้เราได้
เพื่อให้พวกเราประทับใจกับการเลือกใช้บริการของเขาด้วยครับ
เป็นการเดินทางเมื่อต้นปี
แต่ข้อมูลบางอย่างอาจพอเป็นประโยชน์กับพวกเราที่สนใจไปเที่ยวพม่าบ้าง
เลยขออนุญาตรีวิวให้เป็นแนวทางเล็กน้อยครับ ช่วงที่เหมาะสมในการเที่ยวพม่า
สำหรับผมคิดว่าช่วงหน้าหนาวเหมาะสมมาก ๆ เพราะอากาศเหมือน ๆ บ้านเรา
ร้อนมากเช่นกัน ดังนั้น
หน้าหนาวน่าจะทำให้การเดินทางสบายและผ่อนคลายมากกว่าครับ
เราเลือกใช้บริษัททัวร์แห่งหนึ่งในพม่า
โดยเราค้นหาข้อมูลของบริษัทนี้อย่างรอบด้าน จนเรามั่นใจแล้วจึงติดต่อไปครับ
เจ้าของบริษัทเป็นแพทย์หญิงชาวพม่าครับ เราได้ไกด์ คือ คุณแอดดี้
พูดไทยได้ บริการดีมากครับ พวกเราประทับใจกันทุกคน
มาเริ่มดูบรรยากาศตั้งแต่วันแรกกันเลยแล้วกันครับ
เราไปถึงพม่าตอนเช้า
มีคุณหมอและทีมงานมารอรับพร้อมรถตู้ที่เราจะใช้ในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวในวันนี้ด้วยครับ ถึงขณะนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ
เราเริ่มวันแรกด้วยวัดต่าง ๆ ในย่างกุ้งกันครับ
เยอะจนจำชื่อไม่หวาดไม่ไหว...หนึ่งในวัดที่เราแวะไปในเช้านี้ครับ
ขอไปช้า ๆ นะครับ อาจแวบไปทำภารกิจเป็นระยะ ๆ ไปดูอีกวัดครับ
และก็ต้องแวะไปขอพรดี ๆ จากเทพทันใจ
บรรยากาศภายนอกของวัด...แห่งเดียวกันนี้
เที่ยวหลายวัดเลยครับ...รอมาที่ไฮไลท์ของวัน
เราตั้งใจจะมาที่มหาเจดีย์ชเวดากอง ในช่วงบ่ายแก่ ๆ เพื่อจะเก็บภาพยามเย็น ๆ
ที่สวยงามขององค์เจดีย์ที่สวยงามแห่งนี้ครับ
ภาพนี้เป็นทางเข้าน่าจะทางทิศตะวันตก เป็นอีกทางเข้าที่สวยงาม
คนเข้าทางนี้ไม่เยอะไม่วุ่นวายดีครับ
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง
ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า
เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น
ตามตำนานเจดีย์ชเวดากองนั้น สร้างเมื่อ 2,500
ปีที่แล้ว แต่นักโบราณคดีเชื่อกันว่าสร้างระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6 - 10
โดยชาวมอญ ตามตำนานนั้นเริ่มจากว่า มีพี่น้องพ่อค้า 2 คน
ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์จึงประทานพระเกศามา 8 เส้น
โดยนำมาบรรจุอยู่ที่พระธาตุเพียงสองเส้นเท่านั้น
พระเจดีย์ได้ถูกทิ้งร้างจนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14
พระเจ้าพินยาอู ได้ทรงสร้างพระเจดีย์ใหม่สูง 18 เมตร
พระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมเรื่อยมา จนมามีความสูง 98 เมตร ในคริสต์ศตวรรษที่
15 แผ่นดินไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่อยมา ทำให้พระเจดีย์ได้รับความเสียหาย
และเมื่อปี พ.ศ. 2311 (ในสมัยกรุงธนบุรี) ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างหนัก
ทำให้ยอดของพระเจดีย์หักถล่มลงมา
บนยอดสุดของพระเจดีย์ มีเพชรอยู่ 5,448 เม็ด
โดยเฉพาะชั้นข้างบนสุดมีเพชรเม็ดใหญ่อยู่ 76 กะรัต และทับทิม 2,317 เม็ด
ผู้ที่เข้ามานมัสการหรือเยี่ยมชมจะต้องถอดรองเท้าทุกครั้ง
เมื่อมาถึงทางเข้าให้เดินตามเข็มนาฬิกา
ขึ้นอยู่กับดวงวันเกิดของผู้เข้าที่จะดูตาม 12 นักษัตร รอบ ๆ
พระเจดีย์ก็มีศาลเจ้าเล็ก ๆ อยู่รายรอบ
ค่ำนั้นเราไปกินมื้อเย็นที่ ภัตตาคารการะเวก
แล้วรุ่งเช้าเราต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อบินไปยังพุกาม...Bagan ต่อไปครับ
ภาพนี้ที่ตลาดเช้าใกล้เมืองพุกาม จุดแรกที่เราแวะชมวิถีชาวบ้านในพม่า
เจดีย์ชเวสิกอง (Shwezigon pagoda)
ชาวพม่าทั่วไปเคารพนับถือความศักดิ์สิทธิ์ของเจดีย์แห่งนี้เป็นอันมาก เป็น 1
ใน 5 มหาเจดีย์สถานของพม่า
เพราะเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระเขี้ยวแก้ว
เจดีย์รูปแบบศิลปะพม่าอย่างแท้แห่งนี้ สร้างขึ้นโดยกษัตริย์อโนรธา (King
Anawrahta) แต่แล้วเสร็จในสมัยของกษัตริย์จันสิตธา (King Kyanzittha)
องค์เจดีย์สีทองอร่ามทรงระฆังคว่ำ สูง 160 เมตร
ภายในมีหอผีนัต ซึ่งเป็นวิหารยาวที่ตั้งรูปผีหลวงที่ชาวพม่าเคารพนับถือ
ในอดีตนั้นเจดีย์แห่งนี้มีความสำคัญกับชาวพม่ามาก
เพราะใช้เป็นสัญลักษณ์แทนตนเป็นพุทธมามกะตั้งแต่โบราณ
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับการเข้าชมเจดีย์นี้ คือ
ภาพประวัติพุทธชาดกของพระพุทธเจ้าที่ปรากฏบริเวณผนัง
อาณาจักรพุกาม (อังกฤษ : Pagan Kingdom)
เป็นอาณาจักรโบราณ ในช่วง พ.ศ. 1587 - พ.ศ. 1830
พุกามเป็นอาณาจักรและราชวงศ์แห่งแรกในประวัติศาสตร์พม่า
มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองพุกามในปัจจุบัน เดิมมีชื่อว่า "ผิวคาม" (แปลว่า
หมู่บ้านของชาวผิว) เป็นเมืองเล็ก ๆ ริมทิศตะวันออกของแม่น้ำอิระวดี
สภาพส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายแห้งแล้ง เป็นที่อยู่ของชาวผิว
ซึ่งเป็นชนพื้นเมือง ในปี พ.ศ. 1587 พุกามถูกสถาปนาโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ
พระองค์ต้องทำสงครามกับชาวมอญที่อยู่ทางใต้
จึงได้สถาปนาชื่ออย่างเป็นทางการของพุกามว่า "ตะริมันตระปุระ" (หมายความว่า
เมืองที่ปราบศัตรูราบคาบ)
ที่พุกามมีวัดเก่าแก่มากมาย เราเที่ยวชมอยู่หลายวัด รอเวลาเย็น ๆ เพื่อจะชมแสงสุดท้ายของวันเหนือทุ่งเจดีย์แห่งพุกามครับ
ในรัชสมัยพระเจ้าจานสิตา กษัตริย์องค์ที่ 4
แห่งราชวงศ์พุกาม เป็นสมัยที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด
มอญที่อยู่ยังหงสาวดีทางตอนใต้
ได้ทำสงครามชนะพุกามและครอบครองดินแดนของพุกามไว้ได้
พระองค์จึงรวบรวมชาวพม่าและชาวมอญบางส่วนตีโต้คืน
จึงสามารถยึดพุกามกลับมาไว้ได้
พุกามเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดทางด้านศิลปวิทยาการในสมัยพระเจ้าอลองสิธู
และใน พ.ศ. 1687 พระองค์ได้โปรดให้สร้างเจดีย์ชื่อ "ตะเบียงนิว" (แปลว่า
เจดีย์แห่งความรู้) ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพุกามไว้ด้วย
คืนนั้นเราพักในเขตทุ่งเจดีย์ รุ่งเช้าเราจึงออกมาเก็บภาพทุ่งเจดีย์ในบรรยากาศแสงอ่อน ๆ ยามเช้าครับ
อีกสักภาพครับ ก่อนจะเดินกลับเข้าที่พักเตรียมกินมื้อเช้าครับ
หลังมื้อเช้าเราออกเดินทางไปยัง ภูเขาโปปา (Mount
Popa) เป็นภูเขาที่มีความศักดิ์สิทธิ์
เป็นสถานที่สิงสถิตของบรรดาเทวดาและนัตทั้งหลาย
ตามความเชื่อดั้งเดิมของประชาชนชาวพม่าตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 4 แล้ว
โดยกษัตริย์ของอาณาจักรในอดีตของพม่า
จะต้องจัดงานเคารพบูชาผีนัตเป็นประจำทุกปี
โดยชาวพม่าเชื่อว่าภูเขาแห่งนี้เป็นเสมือนบ้านของผีนัต
มีการเฉลิมฉลองเพื่อความเคารพต่อผีนัตในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมและเดือน
มิถุนายน ภูเขาแห่งนี้เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว
ตั้งอยู่ห่างจากเมืองพุกามประมาณ 50 กิโลเมตร โดยมีความสูงทั้งสิ้น 1,518
เมตร ระหว่างทางแวะชิมน้ำตาลก้อน ที่ชาวบ้านทำจากต้นตาลแท้ ๆ สด ๆ ครับ
เราต้องออกแรงเดินขึ้นไปยังยอดเขาด้านขวามือในภาพ
ทางขึ้นเป็นบันไดเรียบร้อย ช่วงแรกมีร้านค้าขายของที่ระลึกมากมาย
บนยอดเขาเป็นวัดที่ชาวพม่าเลื่อมใสมากอีกแห่งหนึ่งครับ อย่างไรก็ดี
แดดวันนี้ร้อนแรงมาก เราไม่ค่อยสนุกกับสภาพอากาศในวันนี้นักครับ
ในช่วงบ่ายเรากลับมาเที่ยวต่อในเขตพุกาม ที่นี่มีวัดมากมายให้เราเที่ยวกันจนเบื่อกันไปข้างหนึ่งเลยครับ
กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์พุกาม คือ
พระเจ้านรสีหบดี สร้างเจดีย์องค์สุดท้ายแห่งพุกาม เสร็จเมื่อปี พ.ศ. 1819
และเมื่อสร้างเจดีย์องค์นี้เสร็จ ได้มีผู้ทำนายว่า
อาณาจักรพุกามจะถึงกาลอวสาน ซึ่งต่อมาก็เป็นจริงดังนั้น
เมื่อกองทัพมองโกลยกทัพเข้ามาบุกในปี พ.ศ. 1827 และพุกามถึงคราวล่มสลายในปี
พ.ศ. 1830 รวมระยะเวลาแล้ว 243 ปี มีกษัตริย์อยู่ทั้งหมดทั้งสิ้น 11
พระองค์
บ่ายวันนั้นที่หมู่บ้านใกล้ที่เราพักมีงานบวชเณร
เราเลยแวะไปเก็บบรรยากาศประเพณีของชาวบ้านที่นี่มาด้วยครับ
พอช่วงเย็นเราได้ไปลงเรือล่องไปตามแม่น้ำอิระวดี
ชมวิถีชาวบ้านริมฝั่งแม่น้ำ และพระอาทิตย์ตกดินในบรรยากาศสบาย ๆ ครับ
อีกสักภาพครับ ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดีครับ
เช้าตรู่วันต่อมาเราบินไปเมืองมัณฑะเลย์
ซึ่งที่นี่ก็มีสิ่งที่น่าสนใจให้เราเที่ยวชมมากมายเช่นกัน
เราเริ่มกันแต่เช้าครับ ไปตักบาตรเช้ากัน...
มัณฑะเลย์ (Mandalay) ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี
อดีตเมืองหลวงที่สำคัญของประเทศพม่า ก่อตั้งโดยกษัตริย์มินดง ในปี พ.ศ.
2400 แต่ภายหลังจากที่พม่าได้ตกเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิอังกฤษ เมื่อปี
พ.ศ. 2428 ทำให้เมืองแห่งนี้ลดความสำคัญลงไป
แต่ทว่าปัจจุบันเมืองมัณฑะเลย์ได้รับการปรับปรุง
จนกลายเป็นเมืองศูนย์กลางที่สำคัญเมืองหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศพม่า
โดยมีขนาดประชากรที่มากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ
และมีความสำคัญทั้งในแง่ของศิลปะ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว
พระเจ้ามินดง ทรงสร้างเมืองมัณฑะเลย์เป็นราชธานีใน
พ.ศ. 2400 นามนี้ได้มาจากชื่อเขา
ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของตัวเมืองเขานี้
เป็นเขาศักดิ์สิทธิ์มาช้านานแล้ว และตำนานได้กล่าวไว้ว่า
พระพุทธองค์และพระอานนท์ได้เสด็จมาประทับพักที่นั่น
พระพุทธองค์ได้ประธานพุทธทำนายไว้ว่า เมื่อพระพุทธศาสนาครบ 2,500 ปี
จักเกิดเป็นเมืองใหญ่เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาขึ้นที่เชิงเขาแห่งนี้
พระเจ้ามินดงจึงทำพุทธทำนายให้เกิดเป็นความจริงขึ้นมา
โดยทรงย้ายราชธานีจากเมืองอมรปุระมายังเมืองมัณฑะเลย์
เมืองนี้มีนามอีกนัยหนึ่งว่า รัตนบูชา
สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็คือวัดเช่นเดิมครับ ที่นี่มีวัดที่สวยงามน่าสนใจมากมาย
เราเที่ยวชมวัดต่าง ๆ อยู่หลายแห่ง
และช่วงสุดท้ายของวันเป็นไฮไลท์สำคัญของวันนั้นครับ
เราไปชมแสงสุดท้ายของวันที่ U Bein Bridge ครับ
เมืองอมรปุระ
เป็นเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกับเมืองมัณฑะเลย์
มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจคือ สะพานอูเบ็ง (U-Bein)
สร้างโดยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในสมัยพระเจ้าโบดอพญา ที่ชื่อ อูเบ็ง
สะพานนี้เป็นสะพานไม้สักที่สร้างข้ามทะเลสาบเตาง์ตะมัน (Toungthamon)
ประมาณ 1 กิโลเมตร วัสดุบางส่วนก็นำมาจากกรุงอังวะด้วย
โดยสะพานนี้สร้างเพื่อเป็นทางเชื่อมไปสู่เจดีย์จ๊อกตอยี
นับเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่มีชื่อเสียงจุดหนึ่งของเมืองอมรปุระ
หรือมัณฑะเลย์ซึ่งอยู่ติดกัน
อีกสักภาพครับ...
เช้ามืดวันถัดมา...กับพิธีล้างหน้าพระมหามัยมุนี เมืองมัณฑะเลย์
พระมหามัยมุนี 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของประเทศพม่า
ตามตำนานเล่าว่า พระเจ้าจันทสุริยะ กษัตริย์ของชาวยะไข่แห่งเมืองธัญญวดี
(ปัจจุบันอยู่ในรัฐยะไข่ ทางด้านตะวันตกของพม่าติดกับบังคลาเทศ) โปรดฯ
ให้สร้างพระมหามัยมุนี ซึ่งแปลว่า "มหาปราชญ์" ขึ้นในปี พ.ศ. 689
หรือเกือบสองพันปีมาแล้ว
เหตุเพราะพระพุทธเจ้าเสด็จมาเข้าพระสุบินประทานพรแก่พระเจ้าจันทสุริยะ
ให้สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้น เพื่อเชิดชูพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง
แต่เนื่องจากว่ามีขนาดใหญ่จึงต้องหล่อแยกเป็นชิ้น
แล้วจึงนำมาประสานกันได้สนิทจนไม่เห็นรอยต่อเป็นที่น่าอัศจรรย์
เชื่อกันว่าเป็นด้วยพรของพระศาสดาประทานไว้
ด้วยเหตุแห่งความศรัทธาว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต
จึงเป็นที่มาของธรรมเนียมการล้างพระพักตร์ให้องค์พระทุก ๆ รุ่งสาง
เหมือนดั่งคนที่ต้องล้างหน้าแปรงฟันทุกเช้า
โดยมีพระทำหน้าที่ล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนีทุกวันตั้งแต่ราวตีสี่ครึ่ง
เริ่มจากประพรมพระพักตร์ด้วยน้ำผสมเครื่องหอมทำจากเปลือกไม้ "ตะนะคา"
ซึ่งชาวบ้านนำมาบริจาคให้วัดทุกวัน
จากนั้นก็ใช้แปรงขนาดใหญ่ขัดสีบริเวณพระโอษฐ์ดั่งการแปรงฟัน
แล้วใช้ผ้าเปียกลูบไล้เครื่องหอมดั่งการฟอกสบู่จนทั่วทั้งพระพักตร์
จึงมาถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุด คือการใช้ผ้าขนหนูเช็ดพระพักตร์ให้แห้ง
และขัดสีให้เนื้อทองสัมฤทธิ์ที่พระพักตร์ให้สุกปลั่งเป็นเงางามอยู่เสมอ
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดพระมหามัยมุนี
จึงเป็นพระพุทธรูปที่มีพระพักตร์อิ่มเอิบเป็นประกายวาววามอย่างที่สุดองค์
หนึ่ง
วัดมหามัยมุนีมีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นเดียวกับปูชนียสถานทุกแห่งในพม่า คือ
ไม่อนุญาตให้สุภาพสตรีเข้าใกล้องค์พระได้เท่าสุภาพบุรุษ
ซึ่งสามารถขึ้นไปปิดทองที่องค์พระได้เลย
โดยทางวัดกำหนดให้เขตสตรีกราบสักการะองค์พระได้ระยะใกล้สุดราว 10 เมตร
แต่สามารถซื้อแผ่นทองฝากผู้ชายขึ้นไปปิดทองแทนได้
พิธีกรรมนี้ดูจริงจังและใช้เวลามาก
เจ้าอาวาสพิถีพิถันอย่างมากในการทำพิธี...
หลังเสร็จพิธีเราเข้าไปชมและทำความเคารพได้ใกล้ชิดแล้วครับ
เป็นพิธีกรรมที่น่าสนใจจริง ๆ ครับ
หลังจากชมพิธีล้างหน้าพระมหามัยมุนี
เช้าวันนั้นเราได้เดินทางไปเมืองมินกุน
ก่อนถึงเราจะต้องล่องเรือในแม่น้ำอิระวดีไปยังเมืองดังกล่าว
อันดับแรกเราไปชมระฆังสำริด Mingun ที่สร้างโดยพระเจ้าโบดอพญา
เป็นระฆังใหญ่ที่สุดอันดับสองในโลก (รองจากระฆังที่รัสเซีย)
แต่ถ้านับเป็นระฆังชนิดแขวนแล้วสามารถตีดัง
พม่าบอกว่าเป็นระฆังแขวนที่ใหญ่ที่สุดในโลก สูง 12 ฟุต และวัดปากขอบยาว 16
ฟุต 3 นิ้ว หนัก 90 ตัน
ถัดไปไม่ไกล...เจดีย์ชินพิวเม (เมียะเต็งดาน)
ประดิษฐานอยู่เหนือระฆัง Mingun ไม่ไกล
ได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่สวยสง่ามากแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2359
โดยพระเจ้าบากะยีดอว์ พระราชนัดดาในพระเจ้าปดุง
เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่พระองค์มีต่อพระมหาเทวีชินพิวเม
ซึ่งถึงแก่พิราลัยก่อนเวลาอันควร จึงได้รับสมญานามว่า
"ทัชมาฮาลแห่งลุ่มอิระวดี"
เจดีย์องค์นี้เป็นพุทธศิลป์ที่สร้างขึ้นด้วยหลักภูมิจักรวาล
คือมีองค์เจดีย์สถิตอยู่ตรงกลาง ณ ยอดเขาพระสุเมรุ
อันเชื่อกันว่าเป็นศูนย์กลางโลกและจักรวาล
ล้อมรอบด้วยขุนเขาและมหาสมุทรตามหลักไตรภูมิ
วันนี้อากาศร้อนแรงมาก
เราไม่ค่อยสนุกนักกับกิจกรรมกลางแจ้ง ตากแดดและอากาศร้อนแบบนี้
ก็เลยเน้นภาพคนกับวิวต่าง ๆ ภาพวิว วัดและอาคารต่าง ๆ ถ่ายมาน้อย
ฝากไว้อีกสักภาพครับ
กลับเข้ามาที่เมืองมัณฑะเลย์ เราแวะไปชม
พระราชวังมัณฑะเลย์
พระราชวังที่ส่วนใหญ่ก่อสร้างด้วยไม้สักที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย
ในสมัยสงครามมหาบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ 2) วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2488
เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรโดยกองทัพอังกฤษ
ได้ทิ้งระเบิดจำนวนมากมายถล่มพระราชวังมัณฑะเลย์ของประพม่า
จนไฟลุกไหม้เป็นจุล
ด้วยเหตุผลว่าพระราชวังนี้เป็นแหล่งซ่องสุมกำลังของกองทัพญี่ปุ่น
พระราชวังมัณฑะเลย์ซึ่งเป็นพระราชวังไม้สักก็ถูกไฟไหม้เป็นจุล
เผาราบเป็นหน้ากลอง หลงเหลือก็แต่ป้อมปราการและคูน้ำรอบพระราชวัง
ปัจจุบันพระราชวังที่เห็นอยู่เป็นพระราชวังที่รัฐบาลพม่าได้จำลองรูปแบบของ
พระราชวังของเก่าขึ้นมาครับ
โดยรวมแล้วพระราชวังแห่งนี้ไม่น่าสนใจมากนักครับ เราจึงใช้เวลาเที่ยวชมไม่นานนักครับ
จากนั้นเราก็ไปเที่ยววัดต่าง ๆ อีกหลายแห่งเลยครับ
หนึ่งในนั้นคือ วัดชเวนันดอร์
สำหรับวัดนี้เป็นวัดที่สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง
โดยพระเจ้ามินดงได้ทรงให้รื้อเอาไม้สักทองจากพระราชวังเก่ามาก่อสร้าง
และเป็นวัดที่พระเจ้ามินดงทรงเสด็จมานั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม ดังนั้น
วัดนี้จึงมีความสวยงามหลากหลายด้วยสถาปัตยกรรมช่างแห่งมัณฑะเลย์
มีการแกะสลักปิดทอง สำหรับใครที่ชอบศิลปะไม้ งานแกะสลัก ก็ไม่ควรพลาดครับ
ภาพนี้เด็กสาวขายดอกไม้ในวัดแห่งนี้...
อีกวัดครับ วัดกุโสดอร์
เป็นวัดที่พระเจ้ามินดงสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการสังคายนาพระไตรปิฎก
ครั้งที่ 4 และพระองค์ทรงให้จารึกพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์
ลงบนหินอ่อน 729 แผ่น ถือเป็นพระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดในโลก
และถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกพระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี
และได้นำมาประดิษฐานในมณฑป อยู่รอบพระเจดีย์มหาโลกมารชิน สูง 30 เมตร
ซึ่งจำลองรูปแบบมาจากพระมหาเจดีย์ชเวสิกองแห่งเมืองพุกาม
อีกภาพในวัดกุโสดอร์
แม่ชีน้อยเดินผ่านมาเลยขอถ่ายภาพหน่อยครับ
และก็มาถึงจุดหมายสุดท้ายของวันนี้ มัณฑะเลย์ฮิลล์
ตั้งอยู่กลางเมืองมัณฑะเลย์ สูง 236 เมตร
ปากทางขึ้นมารูปปั้นสิงห์ขนาดใหญ่สองตัว
ระหว่างทางมีปูชนียสถานให้สักการบูชาเป็นระยะ ๆ
หากว่าท่านไม่อยากเดินขึ้นก็สามารถนั่งรถสองแถวขึ้นบนยอดมัณฑะเลย์ได้เลย
บนยอดเขามัณฑะเลย์มีวิหาร "ซูตองพญา" รูปทรงคล้ายมณฑปครอบพระมหามัยมุนี
ภายใต้วิหารประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสี่ทิศ คือ พระกกุสันโธ พระโกนาคมน์
พระกัสสป และพระสมณโคดม รอบวิหารมีระเบียงสำหรับชมทัศนียภาพเมืองมัณฑะเลย์
และสามารถมองเห็นแม่น้ำอิระวดี พระบรมมหาราชวัง
วัดกุโสดอว์...ภาพองค์พระในอาคารบนยอดเขามัณฑะเลย์
บรรยากาศที่นี่สบาย ๆ ครับ แม้จะไม่ได้สวยงามมากมายนัก
แต่ก็เป็นการพักผ่อนชมพระอาทิตย์ตกดินในยามเย็น
ในมุมที่ดีที่สุดของเมืองนี้แล้วครับ
เราต้องลาจากเมืองมัณฑะเลย์แล้วครับ เช้าวันต่อมาเราบินต่อไปยัง Heho เพื่อเดินทางต่อไปทะเลสาปอินเลครับ
ทะเลสาบอินเล (Inle Lake)
ทะเลสาบแห่งนี้อยู่ท่ามกลางหุบเขาที่สวยงามของรัฐฉาน
อยู่ห่างจากเมืองตองยีประมาณ 25 กิโลเมตร
เหมาะแก่การมาเที่ยวชมเพื่อการศึกษาถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวพม่า
ที่เรียกได้ว่ากลมกลืนกับธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง
ทะเลสาบแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนที่เรียกตนเองว่า ชาวอินทา
(Intha) ชนเผ่านี้อาศัยอยู่ในทะเลสาบอินเลมานานนับร้อยปีแล้ว
โดยใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการทำการเกษตรบนเกาะวัชพืช
ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเองกลางลำน้ำในทะเลสาบ
การทำประมง
ในทะเลสาบเป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะวิธีการหาปลานั้น
เรียกได้ว่าไม่เหมือนชาวประมงที่ใด
นี่คือหนึ่งในสถานที่ที่ควรไปเยี่ยมเยือนครับ กับบรรยากาศสบาย ๆ
ชมวิถีชีวิตชาวบ้านอย่างแท้จริง
การพายเรือด้วยเท้า
เป็นลักษณะอันโดดเด่นเฉพาะตัวของชาวอินทา
สาเหตุของการพายเรือด้วยเท้าของชาวอินทา เป็นเพราะว่าปรับการดำรงชีวิต
และเพิ่มความสะดวกให้เข้ากับหลักทางภูมิศาสตร์ของทะเลสาปอินเล
การไปดูชาวอินทาพายเรือด้วยเท้า อาจเป็นเหตุผลต้น ๆ
ของการไปเที่ยวทะเลสาบอินเล
แต่วิถีชีวิตและธรรมชาติที่บริสุทธิ์สวยงามของที่นี่ก็น่าประทับใจจริง ๆ
ครับ
ทะเลสาบอินเล มีพื้นที่ประมาณ 116 ตารางกิโลเมตร
มีความลึกประมาณ 2 - 8 เมตร (พื้นที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างตามฤดู)
มีความสวยงามตามธรรมชาติ เป็นแรงดึงดูดที่สำคัญดึงให้นักท่องเที่ยวมาเยือน
ผืนน้ำกว้างใหญ่และวิวทิวเขาอันสวยงาม
รวมทั้งเสน่ห์วิถีชีวิตของชาวอินตาที่เรียบง่าย
ทะเลสาบอินเล มหัศจรรย์ของการเกษตรกรรมลอยน้ำ
เป็นภูมิปัญญาของชาวอินทาที่รู้จักดึงเอาธรรมชาติรอบตัว
มาใช้เป็นประโยชน์ได้อย่างอย่างสูงสุดและเหมาะสม
แปลงผักในทะเลสาบเกิดจากการตัดเอาหญ้าวัชพืชและสาหร่ายในทะเลสาบ
มาดัดแปลงทำเป็นแปลงเกษตรลอยน้ำ
ชมวิถีชีวิตที่ทะเลสาบอินเลครับ ชาวบ้านเก็บสาหร่าย พืชน้ำไปทำแปลงเกษตรลอยน้ำ
ทะเลสาบอินเล เป็นที่ตั้งของชุมชนกลางน้ำขนาดใหญ่
ชาวบ้านมีอาชีพเกษตรกรรมทั้งเพาะปลูกและประมง และมีสินค้าหัตถกรรมขนาดเล็ก
เช่น การทอผ้า ตีเหล็ก บุหรี่
และอีกส่วนหนึ่งก็มีรายได้จากการบริการท่องเที่ยว บ้านเรือนของชาวอินทา
ก็ล้วนแต่ปลูกหลักปักเสาลงในทะเลสาบ
และอยู่ใกล้กับแปลงเกษตรลอยน้ำของพวกเขานั่นเอง
มาดูบรรยากาศที่พักของเราที่ทะเลสาบอินเลครับ...ยามเย็น
ยามเช้าที่ท่าเรือของรีสอร์ทที่เราพัก
อีกภาพแล้วกันครับ หากเราต้องการภาพสวย ๆ
ก็ต้องเลือกว่าจะไปถ่ายภาพให้ได้แสงสวย ๆ ในสถานที่ใดบ้าง
แล้วจัดโปรแกรมให้ลงตัวให้สามารถไปสถานที่นั้น ๆ ในช่วงเวลาที่แสงงาม ๆ
เท่านี้ก็จะได้ภาพดี ๆ และความทรงจำดี ๆ ไปนาน ๆ ครับ เช่น
สะพานอูเบ็งถ้าไปตอนกลางวัน...ไม่มีอะไรสวยงามเลย ร้อนอย่างเดียว
ต้องไปตอนเย็น ๆ ครับ
เราพักที่อินเลสองคืน
ที่นี่เหมาะสำหรับคนที่ชอบน้ำครับ มีบรรยากาศที่ผ่อนคลายมาก ๆ
เราได้นั่งเรือเที่ยวชมไปตามจุดต่าง ๆ ที่น่าสนใจ มีทั้งวัด ทั้งตลาด
ร้านค้าของกลุ่มชาวบ้าน เห็นวิถีชีวิตชาวบ้าน
และธรรมชาติที่สวยงามของทะเลสาบอินเลครับ
สภาพบ้านเรือนของชาวบ้านที่ทะเลสาบแห่งนี้ครับ
ตลาดนัดผลัดเปลี่ยนเวียนไปตามชุมชนต่าง ๆ เป็นประจำทุก ๆ สัปดาห์
วิถีชีวิตชาวบ้านที่นี่ครับ
ดูบรรยากาศทั่ว ๆ ไปของการท่องเที่ยวในทะเลสาบอินเลอีกหน่อยนะครับ แล้วค่อยไปต่อกัน
เรือที่เรานั่งเที่ยวชมในระหว่างอยู่ที่นี่ครับ
อีกนิดกับวิถีชีวิตและการหากินของชาวบ้านในช่วงแสงอ่อนของวัน
ได้เวลากลับที่พักและต้องจากอินเลไปต่อยังจุดหมายต่อไปแล้วครับ
วันต่อมาเราบินกลับย่างกุ้งอีกครั้ง
จากนั้นเราก็นั่งรถมุ่งหน้าไปสู่ไฮไลท์ของช่วงสุดท้าย
พระธาตุอินทร์แขวน...ระหว่างการเดินทางเราแวะชมพระราชวังและวัดต่าง ๆ
เราเดินทางถึงทางขึ้นพระธาตุอินทร์แขวนในช่วงบ่ายแก่
และเราเลือกที่จะเดินขึ้นไปยังที่พัก ที่อยู่ใกล้ ๆ
พระธาตุอินทร์แขวนนั้นเอง มาทันแสงสุดท้ายของวันพอดีครับ
พระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจ้ก์ทิโย (อังกฤษ :
Kyaikhtiyo) ในภาษามอญ หมายความว่า หินรูปหัวฤๅษี ตั้งอยู่ที่เมืองไจ้ก์โถ่
อำเภอสะเทิม เขตรัฐมอญของประเทศพม่า บนยอดเขาพวงลวง เหนือระดับน้ำทะเล
3,615 ฟุต ลักษณะเด่นของพระธาตุอินทร์แขวน คือ
มีลักษณะเป็นก้อนหินสีทองขนาดใหญ่สูง 5.5 เมตร
ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่
เหมือนจะหล่นและท้าทายแรงดึงดูดของโลกโดยไม่ตกลงมาอย่างเหลือเชื่อ
พระธาตุอินทร์แขวนนับเป็น 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวพม่าต้องไปสักการะ
และยังเป็นพระธาตุประจำปีจอ (สุนัข)
ที่คนเกิดปีนี้ต้องไปนมัสการสักครั้งหนึ่งในชีวิต
มีเวลาไม่มากต้องรีบถ่ายก่อนแสงจะหมดครับ
มีตำนานเล่าขานกันในสมัยพุทธกาลว่า
ฤๅษีติสสะเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับพระเกศาจากพระพุทธเจ้า
ที่ได้ทรงมอบให้ไว้เป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ให้ประชาชนสักการะ
เมื่อครั้นได้มาแสดงธรรมเทศนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ
ผู้ที่ได้รับมอบพระเกศาต่างก็นำไปบรรจุในสถูปเจดีย์
ส่วนฤๅษีติสสะกลับนำไปซ่อนไว้ในมวยผม
เมื่อเวลาล่วงเลยถึงคราวที่ฤๅษีติสสะจะต้องละสังขารเต็มที
เขาตั้งใจไว้ว่าจะนำพระเกศาไปบรรจุไว้ในก้อนหินที่มีรูปร่างคล้ายกับศีรษะ
ของเขา ท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์)
จึงช่วยเสาะหาก้อนหินดังกล่าวจากใต้ท้องมหาสมุทร
และนำมาวางหรือแขวนไว้บนภูเขาหิน
บางตำนานก็เล่าว่า
มีฤๅษีองค์หนึ่งซ่อนพระเกศาที่ได้รับมาจากพระพุทธเจ้าเมื่อครั้นมาโปรดสัตว์
ในถ้ำ ไว้ในมวยผมมาเป็นเวลานาน
เมื่อใกล้ถึงวาระที่จะต้องละสังขารจึงตัดสินใจมอบพระเกศาให้กับพระเจ้าติสสะ
กษัตริย์ผู้ครองนครแห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นบุตรของลูกศิษย์ที่นำมาฝากให้ฤๅษีช่วยเลี้ยงดูตั้งแต่เล็ก
แต่ก่อนอื่นพระเจ้าติสสะต้องหาก้อนหินที่มีลักษณะคล้ายศีรษะของฤๅษี
โดยมีพระอินทร์เป็นผู้ช่วยค้นหาจากใต้สมุทรนำมาวางไว้ที่หน้าผา
สุดท้ายแล้วครับ...กับแสงยามเช้าของวันใหม่ที่พระธาตุแห่งนี้
ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาครับ ผมลืมข้อมูล
บริษัททัวร์ที่เราใช้บริการเป็นของพม่าเขาครับ โดยรวมแล้วพวกเราประทับใจ
พอใจในบริการเราได้เที่ยวครบคุ้มค่า ไม่เหนื่อยมาก
ไกด์ดีและรถยนต์ที่ใช้สภาพดี อาหารกินได้อร่อยถูกปากครับ
เราสามารถปรับเปลี่ยนเวลาต่าง ๆ ได้ตามความพอใจ เป็นทริปธรรมดา ๆ
ที่น่าประทับใจครับ
www.myanmartravelagent.net
ผมติดต่อไปทางอีเมลครับ โดยบอกเขาไปว่าเราอยากไปเที่ยวตรงไหนบ้าง
เราชอบถ่ายภาพ เรามีเวลากี่วัน จะไปกี่คนเท่านั้นเขาก็จัดโปรแกรมให้เรา
ถ้าไม่พอใจอะไรปรับเปลี่ยนได้ครับ
แต่โดยรวมแล้วแทบจะไม่ต้องปรับอะไรเลยครับ