สวัสดีครับ ในนามของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขอขอบคุณ
ประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย
และข้าราชการทุกหมู่เหล่าที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการปฏิบัติงานของ
คสช. เป็นอย่างดี ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือได้ว่าสถานการณ์โดยรวม
มีความเรียบร้อย
สำหรับเหตุผลที่ คสช. เข้ามาบริหารราชการในครั้งนี้
สืบเนื่องมาจากความแตกแยกทางความคิดทางการเมืองของประชาชนที่หยั่งรากลึก
ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งผิด ทั้งถูก การชุมนุมประท้วงที่ยาวนาน
ตลอดจนเหตุการณ์ความรุนแรง มีการใช้อาวุธสงคราม รวมทั้งมีการทุจริต
ทำผิดกฎหมาย เป็นผลให้ประชาชนทั่วไปไม่มีความสุข และไม่ปลอดภัย
รัฐบาลรักษาการไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายปกติได้
และไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินด้วยอำนาจที่มีอยู่อย่างเพียงพอ
การใช้จ่ายงบประมาณปี 2557 ติดขัด ไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยข้อกฎหมาย
ข้อบังคับ ระเบียบคำสั่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ การจัดทำงบประมาณปี 2558
มีความล่าช้า ปัญหาเหล่านี้หากปล่อยให้ยืดเยื้อยาวนาน
ย่อมส่งผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจของคนไทยโดยรวม และประเทศไทย
ตลอดจนผลประโยชน์ของมิตรประเทศที่มีในประเทศไทย รวมทั้ง พันธสัญญาต่าง ๆ
ที่ไทยได้ทำไว้กับมิตรประเทศต่างๆมาอย่างยาวนาน
การเข้ามาควบคุมสถานการณ์ของ คสช. เป็นการเข้ามาเพื่อยุติความรุนแรง
ปลดล็อคข้อจำกัดเล็กน้อยต่าง ๆ ที่คั่งค้างอยู่ในกระบวนการ
รออนุมัติจากรัฐบาลที่ผ่านมาอีกมากมาย
และเพื่อคืนความสุขให้ประชาชนคนไทยทั้งชาติ
รวมทั้งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนเฉพาะหน้าเป็นการชั่วคราว
เพื่อให้ประเทศนั้นเดินหน้าต่อไปได้ ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ชาวต่างชาติ
มีความสุข และมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของทุกคน ทุกประเทศโดยรวม
และที่สำคัญที่สุดคือ
เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวงตลอดมา
ได้รับการปกป้องจากคนไทยทุกคน
สำหรับงานของ คสช. มีขอบเขตที่สำคัญอยู่ 2 ประการหลัก ๆ คือ
งานส่วนที่ 1 งานด้านการรักษาความสงบเรียบร้อยทั่วราชอาณาจักร
การประกาศใช้กฎอัยการศึก เป็นความจำเป็น ซึ่งเป็นกฎหมายความมั่นคงสูงสุด
ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สามารถหยุดความรุนแรงได้ทันที
โดยที่ผ่านมากฎหมายปกติปัจจุบันไม่สามารถยุติความขัดแย้ง ความรุนแรงได้เลย
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทุกหมู่เหล่า
ให้ประชาชนได้เรียนรู้และเคารพกฎหมาย เพื่อลดความขัดแย้งต่อไปในอนาคต
โดยยึดหลักกฎหมาย และสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะพยายามใช้อำนาจเท่าที่จำเป็น
ไม่ใช้อำนาจเกินขอบเขต โดยให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด
ระมัดระวังการละเมิดสิทธิมนุษยชน เมื่อสถานการณ์กลับไปสู่สภาวะปกติ
จะได้กลับไปใช้กฎหมายปกติโดยเร็วที่สุด
• ในส่วนของการประกาศห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถาน หรือเคอร์ฟิวนั้น
มีความมุ่งหมายเพื่อให้ คสช. สามารถจัดระเบียบและดูแลความสงบเรียบร้อย
ให้เข้าสู่ภาวะปกติได้โดยเร็ว
อาจมีผลกระทบต่อเสรีภาพในการเดินทางและการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนอยู่
บ้าง ในระยะแรกอาจต้องเข้มงวด เพื่อแยกแยะผู้ก่อเหตุ
ผู้ใช้ความรุนแรงกับประชาชนโดยทั่วไป สกัดกั้นการขนย้ายอาวุธสงคราม
วัตถุระเบิด และการกระทำผิดกฎหมายอื่นๆ เช่น ยาเสพติด อาชญากรรม
การลักลอบขนส่งสิ่งผิดกฎหมาย รวมทั้งการปราบปรามกลุ่มติดอาวุธ
ที่ได้ก่อเหตุความรุนแรงมาอย่างต่อเนื่อง ในห้วงที่ผ่านมา
และมีแนวโน้มจะขยายตัวมากขึ้นต่อไป
ตามที่มีผลการจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงและอาวุธสงคราม สิ่งผิดกฎหมาย
และความผิดอื่น ๆ โดยการปฏิบัติร่วมของเจ้าหน้าที่ พลเรือน
ตำรวจทหารได้เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา
เราตระหนักดีถึงผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนจากการเคอร์ฟิวเช่นกัน
จึงได้มีการประกาศลดระดับการเคอร์ฟิวลงตามสถานการณ์ ซึ่งในห้วงที่ผ่านมา
คสช. ได้ผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวไปแล้วในระดับหนึ่ง
โดยมีการปรับลดเวลาจากเดิม 22.00 – 05.00 น. ปัจจุบันเป็นเที่ยงคืน – 04.00
น. ทั้งนี้หากเหตุการณ์เป็นปกติมากยิ่งขึ้น พื้นที่ที่ไม่มีสถานการณ์
หรือความเสี่ยง หรือพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว จะได้พิจารณาปรับลดมาตรการลง
เพื่อให้ธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการอื่นๆ มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
และจะนำไปสู่การยกเลิกได้ในไม่ช้า หรือโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาระหว่างมีการประกาศห้าม
ได้มีมาตรการบรรเทาผลกระทบโดยการยกเว้นให้แก่ประชาชน
หน่วยงานที่มีความจำเป็น เช่น แพทย์ พยาบาล โรงพยาบาล การส่งผู้ป่วยเจ็บ
การขนส่งเชื้อเพลิง การเดินทางไปต่างประเทศ
การเดินทางของพนักงานที่ทำงานเป็นผลัดในห้วงเวลากลางคืน
โดยการขออนุญาตกับด่านตรวจทหารตำรวจในเส้นทางที่สัญจร
ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
ประชาชนทุกครอบครัวมีความสุข มีความปลอดภัย
ทุกคนได้กลับไปอยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตากัน
หลังจากที่ประสบกับสถานการณ์เสี่ยงภัยอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความรุนแรง
และการชุมนุมที่ยาวนานกว้างขวางที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 6
เดือนที่ผ่านมา และดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งมาเกือบ 9 ปีเต็ม
สำหรับการเชิญบุคคลมารายงานตัวนั้นมีความจำเป็น
โดยเป็นการเชิญผู้ที่อยู่ในความขัดแย้ง ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เช่น แกนนำ
ผู้สนับสนุน นักวิชาการและอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง
หรือโดยอ้อมที่อาจเกิดขึ้นได้
รวมทั้งบุคคลบางคนที่อาจมีอิทธิพลในเชิงสัญลักษณ์
ในการระดมมวลชนสร้างความขัดแย้งขึ้นมาอีก
จากการแสดงความคิดเห็นตามกระบวนการประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตามหากการแสดงออกดังกล่าว มีผลกระทบต่อความสงบสุขโดยรวม
ก็จะถูกเชิญตัวมาชี้แจง คัดแยก ไปดูแล เพื่อสงบสติอารมณ์
และคิดทบทวนว่าที่ผ่านมาได้ทำอะไรไปบ้าง ซึ่งอาจผิดบ้าง ถูกบ้าง
ตามความเชื่อหรือเหตุผลส่วนตน เพื่อให้เกิดการยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง
และคิดได้ว่าเราจะมีส่วนช่วย และร่วมมือกับทุกกลุ่มทุกฝ่าย
เพื่อนำพาประเทศชาติไปข้างหน้าได้อย่างไร ซึ่งตามปกติแล้ว
พ.ร.บ.กฎอัยการศึก มีอำนาจควบคุมตัวได้ 7 วัน
หากมีความผิดก็จะต้องถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป เช่น
ส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งฟ้องศาล
บุคคลที่ถูกเชิญตัวมา บางคนอาจถูกควบคุมตัวแล้วแต่กรณี เช่น 1.-2 วัน
3-4 วัน 5-6 วัน อย่างไรก็ตาม หากมีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางใช้ความรุนแรง
จะถูกควบคุมนานกว่าคนอื่น แต่ไม่เกิน ๗ วัน โดยจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
ทั้งในส่วนของความเป็นอยู่หลับนอน อาหารการกิน ไม่มีการบังคับขู่เข็ญ
ซ้อมทรมาน พันธนาการ หรือละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่อย่างใด
สำหรับผู้ที่ไม่มารายงานตัวนั้น
ต้องถือว่าไม่ให้ความร่วมมือในการสร้างความปรองดอง
และยังคงมุ่งมั่นที่จะต่อสู้เอาชนะ ฝ่าฝืน กฎอัยการศึก โดยไม่เคารพกติกา
กฎหมายความมั่นคงสูงสุดในปัจจุบัน
ซึ่งจะต้องถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาดตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลบางกลุ่ม บางฝ่ายที่ยังคงต่อสู้ด้วยความรุนแรง
โดยใช้อาวุธสงคราม หรือวัตถุระเบิด ก็จะต้องถูกปราบปรามอย่างเด็ดขาดเช่นกัน
เราจะต่อสู้กันด้วยการยึดเพียงแนวความคิดของตน
หรือการตีความกฎหมายเพื่อเข้าข้างแต่ละฝ่ายไม่ได้อีกแล้ว
เพราะมีแต่จะก่อให้เกิดความแตกแยกไม่มีที่สิ้นสุด
คนส่วนใหญ่ทั้งประเทศไม่มีความสุข ประเทศขาดเสถียรภาพ
และความน่าเชื่อถือจากต่างประเทศ ดังนั้น
ทุกกลุ่มทุกฝ่ายต้องหันมาร่วมมือกัน เสริมสร้างความรักความสามัคคี
ความปรองดองสมานฉันท์ ยุติการใช้ความรุนแรงต่อกัน
สิ่งใดที่จะเป็นข้อขัดแย้งหรือเห็นต่าง ต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ก่อน
และให้นำมาหารือเพื่อหาทางออกให้เป็นที่ยอมรับของทุกกลุ่มทุกฝ่าย
เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้
และคืนความสงบสุขให้กับประชาชนทุกหมู่เหล่า
การประกาศห้ามชุมนุมทางการเมืองหรือต่อต้าน คสช. เกิน 5 คนนั้น
มีความจำเป็น เนื่องจากช่วงนี้ เป็นระยะเริ่มแรกของการปฏิบัติงาน คสช.
ต้องการให้เกิดความสงบสุขและปลอดภัยอย่างแท้จริงโดยทันที คสช.
ไม่สามารถให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด มาแสดงความขัดแย้ง ต่อต้านได้
เพราะจะเป็นเหตุให้ฝ่ายอื่นๆออกมาต่อสู้กันอีก จนทำให้เหตุการณ์บานปลาย
ขยายตัว ดังนั้น
จึงอยากจะขอร้องให้ประชาชนทุกพวกทุกฝ่ายอย่าได้ออกมาชุมนุมในห้วงนี้
เพื่อจะได้ไม่เกิดการปะทะกัน หรือเกิดเป็นปัญหาเพิ่มเติมขึ้นมาอีก
อย่างไรก็ตาม คสช. มีความจำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย
ต่อผู้ที่มาชุมนุมทุกพวกทุกฝ่าย ที่ละเมิดการประกาศห้ามดังกล่าว
ด้วยมาตรการที่เหมาะสมในการปฏิบัติของแต่ละดกลุ่มต่อไป
การระงับ ควบคุมสื่อต่างๆ บางสื่อ หรือบางสถานี หรือบางรายการนั้น
ในระยะนี้มีความจำเป็นอย่างมาก เนื่องจากตลอดระยะเวลาประมาณ 9 ปีที่ผ่านมา
รวมทั้งการชุมนุมประท้วงล่าสุด 6 เดือนที่ผ่านมา
ได้มีการใช้สื่อทุกประเภทรวมทั้งสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ มาบิดเบือน
ปลุกระดม ปลุกปั่น ต่อสู้ และสร้างความเกลียดชังต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง
มีทั้งถูก และผิด เจตนาดีต่อบ้านเมืองก็มี
ทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นมาตามลำดับ
มีการข่มขู่ใช้ความรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้าม
และมีการสร้างความเข้าใจผิดต่อผู้ที่เห็นต่าง หรือประชาชนที่อยู่ตรงกลาง
จนทำให้เกิดความสับสนต่อความเข้าใจของประชาชนตลอดเวลา
โดยฝ่ายหนึ่งมองเห็นความไม่ชอบธรรมซึ่งมีหลายเรื่องที่อยู่ในกระบวนการ
ยุติธรรมแล้ว หรือกำลังดำเนินการอยู่ ในขณะที่อีกฝ่ายโต้แย้งด้วยข้อกฎหมาย
อำนาจรัฐ และด้วยความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
ทำให้ไม่สามารถยุติปัญหาลงได้ด้วยวิถีทางของประชาธิปไตย
นอกจากนั้นยังมีการเผยแพร่ความคิดเห็นของนักวิชาการ
และผู้ที่ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงมีข้อมูลไม่ครบถ้วน
ทำให้เกิดความสับสนในสังคม ทำให้การแก้ไขปัญหายุ่งยากขึ้นไปอีก
จึงจำเป็นต้องมีการระงับสื่อดังกล่าวเป็นการชั่วคราว อย่างไรก็ดี
คสช.ไม่มีนโยบายปิดกั้นสื่อสังคมออนไลน์ทุกประเภทแต่อย่างใด
การปรับย้ายข้าราชการของทุกกระทรวง ทบวง กรม
เป็นเรื่องภายในของทุกหน่วยงาน โดยมีเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินการ
เพื่อลดความขัดแย้งที่มีมาแต่เดิม
ส่วนประเด็นที่กล่าวหาว่าเป็นการโยกย้ายอีกฝ่าย หรือเป็นการรังแกข้าราชการ
หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ทั้งนี้ในข้อเท็จจริง
สืบเนื่องจากว่าได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาในอดีตกับกระบวนการใช้
อำนาจรัฐในทุกพื้นที่ หรือมีอำนาจในการบริหารองค์กร
รวมทั้งเป็นข้าราชการที่สามารถทำหน้าที่ให้กับรัฐ
ซึ่งไม่สามารถทำให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา หรือลดความขัดแย้งภายในองค์กร
หรือระหว่างส่วนราชการกับประชาชนในพื้นที่ได้
จึงมีความจำเป็นต้องปรับเพื่อความเหมาะสมในการปฏิบัติงาน
ซึ่งเป็นนโยบายให้ส่วนราชการ โดยปลัดกระทรวง
และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการ ในกรอบอำนาจของตนเอง
สำหรับในส่วนที่มีการปรับย้ายข้ามกระทรวงหรือสังกัดหน่วยงานอื่นที่อยู่ใน
อำนาจของ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ก็จำเป็นต้องใช้อำนาจของ หัวหน้า คสช.
ในการอนุมัติและลงนาม ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความไว้วางใจ
กับประชาชนและสังคมให้เกิดการยอมรับ
มิได้ถือเป็นความผิดส่วนบุคคลแต่ประการใด
ยังเคารพเกียรติยศของความเป็นข้าราชการในทุกองค์กรอยู่เสมอ
งานส่วนที่ 2 การขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน ให้ได้โดยเร็วที่สุด
หลังจากที่การบริหารราชการแผ่นดิน สะดุดหยุดอยู่กับที่มาหลายเดือน
จนงบประมาณ ปี 2557 ต้องหยุดชะงักบางรายการ ไม่สามารถเบิกจ่าย
หรือดำเนินการได้ ประชาชน/ส่วนราชการ เดือดร้อนจากปัญหาดังกล่าว
จำเป็นต้องปลดล็อค หาทางออกด้วยรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม
จากนั้นจะต้องดำเนินการในเรื่องการจัดทำงบประมาณปี 2558
ให้ได้ทันกำหนดเวลา ซึ่งวาระการจัดทำงบประมาณใกล้จะสิ้นสุด
ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้ในปีงบฯ 2558
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะได้ทันต่อการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลัง
จะมาถึงในปลายปีหน้านี้
หลักการสำคัญของ คสช. ในการบริหารราชการในสถานการณ์ไม่ปกติในปัจจุบัน คือ
การใช้ระเบียบบริหารงานปกติของทุกส่วนราชการให้มากที่สุด
เว้นในเรื่องที่เป็นปัญหาติดค้าง หรือปัญหาเร่งด่วน ทั้งนี้ คสช.
มิได้ไปสั่งการส่วนราชการให้ปฏิบัติ
หรือไม่ต้องปฏิบัติในสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือผิดระเบียบ
เพื่อผลประโยชน์ใครแต่ประการใด หรือ คสช.ตกลงใจเองโดยพลการ
เพียงแต่จัดคณะทำงานประสานงาน หรือฝ่ายต่าง ๆ ร่วมกับข้าราชการประจำ
จากแต่ละกระทรวง ไปร่วมกันขับเคลื่อนงานให้มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว โปร่งใส
ได้รับความพึงพอใจและไว้วางใจจากประชาชน• การใช้จ่ายงบประมาณ ที่เกรงว่า
คสช.จะมาใช้จ่ายงบประมาณอย่างไม่จำกัดนั้น ขอเรียนว่า เป็นไปไม่ได้
เพราะทุกอย่างต้องอยู่ในระเบียบวินัย การเงิน การคลัง ของทุกกระทรวง ทบวง
กรม รวมทั้งมีการหารือ สอบถาม กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้านกฎหมาย
สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดความรอบคอบก่อนการดำเนินการ
การใช้จ่ายงบประมาณ จะไม่ใช้จ่ายจนเกินกำลัง
จนเสียวินัยการเงินการคลังของประเทศ และไม่เกินยอดหนี้สาธารณะ
ซึ่งกำลังตรวจสอบตัวเลขที่แท้จริงในปัจจุบัน
ในยอดงบประมาณที่ใช้ไปแล้วและยังไม่ได้ใช้ ซึ่งจะมีผลผูกพันต่าง ๆอีกมากมาย
เพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือในด้านการเงินการคลังของประเทศในสายตาของต่าง
ประเทศ และสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน ต่างประเทศที่จับตามองสถานะเศรษฐกิจ
การเงิน ขีดความสามารถของประเทศไทยอยู่ในขณะนี้
ว่าจะมาร่วมลงทุนอีกหรือไม่
ทั้งนี้โชคดีที่ไทยมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจดีอยู่แล้ว
หากมีการขับเคลื่อนที่ดีต่อไป น่าจะไม่น้อยหน้าใครในภูมิภาคอาเซียน
และของโลกในอนาคต
การใช้จ่ายงบประมาณปี 2557 จะเริ่มจาก
แผนงาน/โครงการที่ค้างคาอยู่อย่างเร่งด่วนซึ่งมีผลต่อประชาชน
และเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะความต้องการพื้นฐานของประชาชน
เงินหมุนเวียนในระบบ
ซึ่งได้เริ่มดำเนินการจากการจ่ายเงินจำนำข้าวที่ติดค้างอยู่ประมาณ 92,000
ล้านบาท ขณะนี้ได้เริ่มทยอยจ่ายไปแล้วเป็นบางส่วน
แผนงาน/โครงการที่ได้อนุมัติไว้แล้ว แต่ไม่สามารถดำเนินการได้
เนื่องจากติดขัดปัญหาระเบียบกฎหมาย ในรัฐบาลที่ผ่านมา โดยจะเร่งตรวจสอบ
จัดลำดับความเร่งด่วนและดำเนินการให้เร็วที่สุด
โดยเฉพาะงบประมาณที่จะทำให้เกิดผลต่อ เงินหมุนเวียนในระบบ
งบบรรเทาภัยพิบัติ การซ่อมแซมสาธารณูปโภค
ปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนเฉพาะหน้า เป็นต้น
โดยมิได้เป็นการใช้งบประมาณจำนวนมากในโครงการขนาดใหญ่แต่อย่างใด
โครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการมูลค่า 2 ล้านล้าน 3.5 แสนล้าน
จะนำมาพิจารณาดูอย่างรอบคอบว่าโครงการใดที่เป็นประโยชน์
สามารถนำไปสู่การปฏิบัติโดยเฉพาะเรื่อง แยกพิจารณา
แยกดำเนินการใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เริ่มต้นได้อย่างโปร่งใส เช่น
รถไฟรางคู่ รถไฟฟ้า สาธารณูปโภคอื่น ๆที่จำเป็นต้องดำเนินการก่อน
โดยจะหาวิธีการเริ่มต้นโดยใช้งบประมาณประจำปี หรือ ใช้การลงทุนโดยภาคเอกชน
ฯลฯ เพื่อเป็นการลดภาระการใช้จ่ายจากการกู้เงินจำนวนมาก
อันจะเป็นภาระผูกพันในระยะยาว แต่ต้องโปร่งใส มีประสิทธิภาพ
ไม่ทำทั้งหมด ทุกแผนงานโครงการจะต้องเริ่มต้นด้วยการบูรณาการ เกิดประโยชน์
เกื้อกูลซึ่งกันและกัน โครงการต่อโครงการ กระทรวง ต่อกระทรวง
ในงบประเภทเดียวกัน เกิดประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวม
จะไม่ได้ทำแผนงานโครงการตามฐานเสียง หรือเหตุผลทางการเมือง
ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมทั่วถึง
เช่นในอดีตที่เป็นมาอย่างต่อเนื่องยาวนานซึ่งคงนำไปหารือในการจัดทำงบประมาณ
ปี 2558 และน่าจะอยู่ในการพิจารณาดำเนินการของรัฐบาล คณะรัฐมนตรี
ที่จะจัดตั้งขึ้นโดยเร็วที่สุด ได้ทันก่อนการเริ่มต้นปีงบประมาณ 2558
คือ 1 ตุลาคม 2557 เป็นต้นไป
การจัดทำ และการดำเนินการด้านงบประมาณทุกแผนงาน/โครงการ จะใช้การดำเนินการให้ใกล้เคียงกับ
การมีรัฐบาลปกติที่สำคัญเน้นให้สามารถรับการตรวจสอบได้ในเรื่องการใช้จ่ายงบ
ประมาณจากหน่วยรับผิดชอบในการตรวจสอบได้ตามกฎหมาย
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสเป็นธรรมและมีการใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน การขุดลอกคู คลอง การสร้างถนน
เส้นทางเชื่อมต่ออาเซียน หรือซ่อมแซมให้ใช้งานได้ดีขึ้น
จะต้องรีบดำเนินการโดยทันที แต่ต้องไม่เป็นภาระกับรัฐบาลใหม่
และเป็นปัญหาอื่น ๆ ในอนาคตอีก
เน้นการใช้จ่ายงบประมาณด้วยการบูรณาการหน่วยงานและงบประมาณของหน่วยที่รับ
ผิดชอบ ต้องร่วมมือกัน
สำหรับราคาพืชผลทางการเกษตร อื่น ๆ อีกหลายอย่างที่มีปัญหา
ก็กำลังหามาตรการดูแลให้เกิดความยั่งยืน ว่าจะทำได้อย่างไรในปีงบประมาณ
2558 โดยไม่ให้นำไปสู่โครงการประชานิยม
ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายในอนาคต
โดยให้แนวทางไปพิจารณาในเรื่องการลดต้นทุนการผลิต สนับสนุนปัจจัยการผลิต
เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ การพัฒนาพันธุ์ ส่งเสริมตลาดรวมการเกษตรทุกพื้นที่
พัฒนาให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิม โดยใช้พื้นที่น้อยลง
เพิ่มการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง
และหาวิธีใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบภายในประเทศ
เพื่อเพิ่มมูลค่าจากวัตถุดิบให้สูงขึ้น
ราคาสินค้าก็ต้องให้เป็นไปตามกลไกตลาดการค้าเสรี
มุ่งเน้นเพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตรให้สูงขึ้น แข่งขันกับประเทศอื่นๆ
ได้อย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน คสช.ได้เร่งรัดให้มีการจ่ายหนี้ให้กับชาวนาเร่งด่วน
อีกประการหนึ่งคือ จากการที่ ธกส.
มีการติดค้างการจ่ายเงินกับชาวนามาเป็นเวลานาน ทำให้ชาวนาเสียโอกาส
คสช.กำลังพิจารณาว่าจะให้ความช่วยเหลืออย่างไร
ซึ่งจะพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับการส่งเสริมการค้าเสรีอย่างเป็นธรรม การลดการผูกขาด
จัดตั้งตลาดกลาง การควบคุมราคาสินค้าสำหรับอุปโภค บริโภค
การลด-เพิ่มภาษีต่าง ๆ กำลังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาดำเนินการ
รวมทั้งให้มีการกำหนดพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ
ส่งเสริมโรงงานขนาดเล็กตามแนวชายแดนและชนบท หรือช่องทางผ่านแดนที่สำคัญ
เพื่อให้แรงงานผิดกฎหมายไม่เข้ามาหางานในพื้นที่ตอนใน
ลดความแออัดของพี่น้องประชาชนคนไทยที่ต้องเข้ามาหางานในเมืองใหญ่ให้มากที่
สุด
ในส่วนของด้านพลังงาน
อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะมีมาตรการดูแลปรับปรุงได้อย่างไรบ้าง
แต่ทุกอย่างต้องอยู่ในกติกา วินัยการเงินการคลัง กฎเกณฑ์
กติกาของตลาดหลักทรัพย์ บริษัทมหาชน
รวมทั้งการพิจารณาจัดตั้งกองทุนในภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้น
ตลอดจนหาวิธีดำเนินการจัดตั้งกองทุนประเทศขนาดใหญ่ เพื่อลดการลงทุนของรัฐ
ในส่วนของรัฐวิสาหกิจ กำลังพิจารณาทบทวน ปรับปรุงให้ดีขึ้นให้ทันสมัย
เร่งพิจารณาถึงการพัฒนาความมั่นคงด้านพลังงานของไทยรวมทั้งเร่งพัฒนาใน
เรื่องพลังงานทดแทน ทั้งจากลม แสงแดด และพืชพลังงานอื่นๆให้เหมาะสมโดยเร็ว
คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ (บอร์ด)
มีความจำเป็นจะต้องปรับให้อยู่ในระเบียบ มีมาตรฐาน
มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ มาบริหารงานให้มีความโปร่งใส
มีการตรวจสอบและมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี
กล่าวโดยสรุปคือ ประเทศ และประชาชนชาวไทย
ยังมีปัญหาอีกมากมายที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข และจัดระเบียบ
ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขให้ได้โดยเร็ว
ที่ผ่านมาเวลาในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติได้สูญเปล่าไปกับความขัดแย้งของ
คนภายในชาติไปมากพอแล้ว เราจำเป็นต้องเดินหน้าต่อไป
เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
สำหรับ Road Map ของ คสช.
ระยะที่ 1 ช่วงแรกของการควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ
จะดำเนินการในเรื่องการปรองดองสมานฉันท์ ให้เร็วที่สุด ในกรอบเวลา 2-3
เดือน นอกจากงานความมั่นคงและขับเคลื่อนได้
เริ่มจัดตั้งศูนย์การปรองดองสมานฉันท์ เพื่อการปฏิรูปทั้งในส่วนกลาง และ
ในระดับพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปในระยะที่ 2 ทั้งนี้
ทุกพื้นที่ต้องเริ่มจากครอบครัว หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด คสช.
ได้มอบหมายให้ กอ.รมน. ดำเนินการโดยเริ่มรวมกลุ่มจากเล็ก มาใหญ่
เพื่อให้ผู้เห็นต่างได้พบปะพูดคุยกันแต่เนิ่นและมิให้เป็นปัญหาต่อไปในระยะ
ที่ 2
รวมทั้งจัดตั้งคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อเตรียมการสู่การปฏิบัติให้พร้อม
ในระยะที่ 2 โดยปราศจากความขัดแย้งตั้งแต่บัดนี้
ซึ่งมิได้มีการดำเนินการในเรื่องการปรับโครงสร้างของส่วนราชการใด ๆ
หรือเรียกผลประโยชน์ค่าตอบแทน หรือ การนิรโทษกรรมใดๆทั้งสิ้น
ระยะที่ 2 การใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว
ซึ่งกำลังดำเนินการจัดทำอยู่โดยฝ่ายกฎหมาย จะมีการจัดตั้งสภานิติบัญญัติ
สรรหา นายกรัฐมนตรี ตั้งคณะรัฐมนตรี เพื่อบริหารราชการ
ร่าง/จัดทำรัฐธรรมนูญ
พร้อมกับการตั้งสภาปฏิรูปเพื่อปฏิรูปแก้ไขในทุกเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องการ
และเป็นที่ยอมรับ โดยน่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี
มากหรือน้อยกว่านั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากสถานการณ์เรียบร้อยเป็นปกติ
ปฏิรูปสำเร็จ ปรองดอง สมานฉันท์กันทุกฝ่าย ประชาชนมีความรักความสามัคคีกัน
ก็จะเริ่มดำเนินการก้าวเข้าสู่ระยะที่ 3
ระยะที่ 3 การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์
ที่ทุกคนทุกพวกทุกฝ่ายพอใจ กฎหมายทันสมัยในทุกด้าน รวมทั้งกฎระเบียบ
กติกาต่าง ๆ ได้รับการแก้ไข เพื่อให้ได้คนดี สุจริต มีคุณธรรม
มาปกครองบ้านเมืองด้วยหลักธรรมาภิบาล
สิ่งต่าง ๆ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นจะไม่สำเร็จโดยเร็วอย่างที่ทุกคนต้องการได้เลย
หากยังไม่มีความสงบเกิดขึ้น
การประท้วงด้วยความไม่เข้าใจในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
และไม่เข้าใจในเหตุผลการควบคุมอำนาจในครั้งนี้
ว่าทำเพื่อประเทศไทยและคนไทยทุกคน
รวมทั้งส่งผลดีต่อการพัฒนาความสัมพันธ์และเพิ่มผลประโยชน์ของไทยและมิตร
ประเทศได้ในอนาคตอันใกล้
ผมคิดว่าคนไทยทุกคนเหมือนผม ไม่มีความสุข มาประมาณ 9 ปีแล้ว
ขณะนี้ทุกคนอยู่ในความสุขสงบมาก ตั้งแต่ 20 และ 22 พฤษภาคม 2557
เป็นต้นมา คสช.ไม่ต้องการก้าวเข้าสู่อำนาจ
ไม่ต้องการใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ใดๆ เลย
แต่ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ถ้าทหารและข้าราชการทุกคนไม่ทำอะไรเลย
ใครจะมาดูแลท่าน ใครจะแก้ปัญหาให้ท่าน
ในเมื่อประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์เดินหน้าต่อไปไม่ได้ ด้วยความขัดแย้ง
เจ้าหน้าที่ถูกตำหนิ ประชาชนเกิดความไม่ไว้วางใจ
การบังคับใช้กฎหมายปกติทำไม่ได้
ทั้งนี้ขอให้เชื่อมั่นในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนให้ความร่วม
มือ ทั้งข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
ประเทศชาติต้องมาก่อนเสมอ
คสช. เข้าใจความรู้สึกของชาวต่างประเทศ
เราเข้าใจดีถึงกฎเกณฑ์ของสังคมโลกในปัจจุบัน เป็นโลกของประชาธิปไตย
แต่ขอให้เวลาเราในการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยม และอะไรอีกหลายอย่าง
เพื่อแก้ประชาธิปไตยของไทย ให้เป็นสากล ถูกต้อง ชอบธรรม รับผิดชอบ เสียสละ
นึกถึงประโยชน์ของประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย ทุกพื้นที่
ทั้งประชาชนเสียงข้างมากข้างน้อย ต้องได้รับความพึงพอใจอย่างทั่วถึงกัน
หากทุกคนร่วมมือกัน จะนำพาประเทศก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงปลอดภัยยั่งยืน
ทุกอย่างก็จะผ่อนคลายไปตามลำดับ เราเข้าใจว่า
ทุกคนคงต้องเลือกประเทศชาติก่อนประชาธิปไตย
ที่จะต้องมีการแก้ไขปรับปรุงนั้นจะประมาณระยะเวลาทีไม่นานนัก
มีเรื่องอื่นๆ อีกมากมายที่พวกเราต้องช่วยกันทำ
ซึ่งคงไม่สำเร็จหากยังมีการประท้วงหรือไม่ร่วมมืออยู่
ขอเวลาให้เราได้แก้ไขปัญหาให้ท่านโดยเร็ว จากนั้น
ทหารก็จะกลับไปทำภารกิจของเราต่อไป และจะคอยเฝ้ามองประเทศชาติ
และประชาชนชาวไทยก้าวต่อไปข้างหน้าสู่อนาคต ด้วยความสุขแบบยั่งยืน
ตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อันเป็นที่เป็นรักยิ่งของชาวไทยทุกคน สวัสดีครับ
This blog contains lots of articles and world news. Its aim is to be a source of knowledge for people to read and think, and thus make an intuitive decision on how to lead their lives fruitfully in every-day livings.Under the concept of Today-Readers are Tomorrow Leaders.' The world will be better because we begin to change for the best.
วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
Israel solves water woes with desalination
SOREK, Israel (AP) — After experiencing its driest winter on record, Israel is responding as never before — by doing nothing.
While previous droughts have been accompanied by
impassioned public service advertisements to conserve, this time around
it has been greeted with a shrug — thanks in large part to an aggressive
desalination program that has transformed this perennially parched land
into perhaps the most well-hydrated country in the region.
"We have all the water we need, even in the year which was the worst year ever regarding precipitation," said Avraham Tenne, head of the desalination division of Israel's Water Authority. "This is a huge revolution."
By solving its water woes, Israel has created the possibility of transforming the region in ways that were unthinkable just a few years ago. But reliance on this technology also carries some risks, including the danger of leaving a key element of the country's infrastructure vulnerable to attack.
Situated in the heart of the Middle East, Israel is in one of the driest regions on earth, traditionally relying on a short, rainy season each winter to replenish its limited supplies. But rainfall only covers about half of Israel's water needs, and this past winter, that amount was far less.
According to the Israeli Meteorological Service, northern Israel, which usually gets the heaviest rainfalls, received just 50 to 60 percent of the annual average.
Tenne said the country has managed to close its water gap through a mixture of conservation efforts, advances that allow nearly 90 percent of wastewater to be recycled for agricultural use and, in recent years, the construction of desalination plants.
Since 2005, Israel has opened four desalination plants, with a fifth set to go online later this year. Roughly 35 percent of Israel's drinking-quality water now comes from desalination. That number is expected to exceed 40 percent by next year and hit 70 percent in 2050.
The Sorek desalination plant, located roughly 15 kilometers (10 miles) south of Tel Aviv, provides a glimpse of that future.
With a loud humming sound, the massive complex produces roughly 20 percent of Israel's municipal water, sucking in seawater from the nearby Mediterranean through a pair of 2.5-meter-wide pipes, filtering it through advanced "membranes" that remove the salt, and churning out clean drinking water. A salty discharge, or brine, gets pumped back into the sea, where it is quickly absorbed. The facility, stretching nearly six football fields in length, opened late last year.
Avshalom Felber, chief executive of IDE Technologies, the plant's operator, said Sorek is the "largest and most advanced" of its kind in the world, producing 624,000 cubic meters of potable water each day. He said the production cost is among the world's lowest, meaning it could provide a typical family's water needs for about $300 to $500 a year.
"Basically this desalination, as a drought-proof solution, has proven itself for Israel," he said. "Israel has become ... water independent, let's say, since it launched this program of desalination plants."
By meeting its water needs, Israel can focus on longer-term agricultural, industrial and urban planning, he added.
Disputes over water have in the past sparked war, and finding a formula for dividing shared water resources has been one of the "core" issues in Israeli-Palestinian peace talks.
Jack Gilron, a desalination expert at Ben-Gurion University, said Israel should now use its expertise to solve regional water problems. "In the end, by everybody having enough water, we take away one unnecessary reason that there should be conflict," he said.
Israel has already taken some small steps in that direction. Last year, it signed an agreement to construct a shared desalination plant in Jordan and sell additional water to the Palestinians.
Israel's advances with desalination could help it provide additional water to the parched West Bank, either through transfers of treated water or by revising existing arrangements to give the Palestinians a larger share of shared natural sources.
"Desalination, combined with Israel's leadership in wastewater reuse, presents political opportunities that were not available even five years ago," said Gidon Bromberg, the Israel director of Friends of the Earth Middle East, an environmental advocacy group.
Under interim peace accords signed two decades ago, Israel controls 80 percent of shared resources, while Palestinians get just 20 percent. A more equitable deal could remove a key source of tension, opening the way for addressing other issues, he said.
But with the most recent round of peace talks having collapsed last month, there is little hope of making progress on any of the core issues anytime soon.
Moreover, Bromberg said desalination is not an end-all solution. The plants require immense amounts of energy, consuming roughly 10 percent of Israel's total electricity production, he said.
The exact impact of desalination plants on the wider Mediterranean also isn't clear, he added. A number of countries, including Cyprus, Lebanon and Egypt, are either using or considering the use of desalination plants.
IDE's Felber said the impact of returning brine to the sea is "minor." But Bromberg insists it is too early to say what impact multiple plants would have, saying "much more research is required."
Relying so heavily on desalination also creates a potential security risk. Missile strikes or other threats could potentially knock out large portions of the country's water supply.
The threat is even more acute in Arab countries of the Gulf, which rely on desalination for more than 90 percent of their water supplies and are located much closer to rival Iran.
"We have all the water we need, even in the year which was the worst year ever regarding precipitation," said Avraham Tenne, head of the desalination division of Israel's Water Authority. "This is a huge revolution."
By solving its water woes, Israel has created the possibility of transforming the region in ways that were unthinkable just a few years ago. But reliance on this technology also carries some risks, including the danger of leaving a key element of the country's infrastructure vulnerable to attack.
Situated in the heart of the Middle East, Israel is in one of the driest regions on earth, traditionally relying on a short, rainy season each winter to replenish its limited supplies. But rainfall only covers about half of Israel's water needs, and this past winter, that amount was far less.
According to the Israeli Meteorological Service, northern Israel, which usually gets the heaviest rainfalls, received just 50 to 60 percent of the annual average.
Tenne said the country has managed to close its water gap through a mixture of conservation efforts, advances that allow nearly 90 percent of wastewater to be recycled for agricultural use and, in recent years, the construction of desalination plants.
Since 2005, Israel has opened four desalination plants, with a fifth set to go online later this year. Roughly 35 percent of Israel's drinking-quality water now comes from desalination. That number is expected to exceed 40 percent by next year and hit 70 percent in 2050.
The Sorek desalination plant, located roughly 15 kilometers (10 miles) south of Tel Aviv, provides a glimpse of that future.
With a loud humming sound, the massive complex produces roughly 20 percent of Israel's municipal water, sucking in seawater from the nearby Mediterranean through a pair of 2.5-meter-wide pipes, filtering it through advanced "membranes" that remove the salt, and churning out clean drinking water. A salty discharge, or brine, gets pumped back into the sea, where it is quickly absorbed. The facility, stretching nearly six football fields in length, opened late last year.
Avshalom Felber, chief executive of IDE Technologies, the plant's operator, said Sorek is the "largest and most advanced" of its kind in the world, producing 624,000 cubic meters of potable water each day. He said the production cost is among the world's lowest, meaning it could provide a typical family's water needs for about $300 to $500 a year.
"Basically this desalination, as a drought-proof solution, has proven itself for Israel," he said. "Israel has become ... water independent, let's say, since it launched this program of desalination plants."
By meeting its water needs, Israel can focus on longer-term agricultural, industrial and urban planning, he added.
Disputes over water have in the past sparked war, and finding a formula for dividing shared water resources has been one of the "core" issues in Israeli-Palestinian peace talks.
Jack Gilron, a desalination expert at Ben-Gurion University, said Israel should now use its expertise to solve regional water problems. "In the end, by everybody having enough water, we take away one unnecessary reason that there should be conflict," he said.
Israel has already taken some small steps in that direction. Last year, it signed an agreement to construct a shared desalination plant in Jordan and sell additional water to the Palestinians.
Israel's advances with desalination could help it provide additional water to the parched West Bank, either through transfers of treated water or by revising existing arrangements to give the Palestinians a larger share of shared natural sources.
"Desalination, combined with Israel's leadership in wastewater reuse, presents political opportunities that were not available even five years ago," said Gidon Bromberg, the Israel director of Friends of the Earth Middle East, an environmental advocacy group.
Under interim peace accords signed two decades ago, Israel controls 80 percent of shared resources, while Palestinians get just 20 percent. A more equitable deal could remove a key source of tension, opening the way for addressing other issues, he said.
But with the most recent round of peace talks having collapsed last month, there is little hope of making progress on any of the core issues anytime soon.
Moreover, Bromberg said desalination is not an end-all solution. The plants require immense amounts of energy, consuming roughly 10 percent of Israel's total electricity production, he said.
The exact impact of desalination plants on the wider Mediterranean also isn't clear, he added. A number of countries, including Cyprus, Lebanon and Egypt, are either using or considering the use of desalination plants.
IDE's Felber said the impact of returning brine to the sea is "minor." But Bromberg insists it is too early to say what impact multiple plants would have, saying "much more research is required."
Relying so heavily on desalination also creates a potential security risk. Missile strikes or other threats could potentially knock out large portions of the country's water supply.
The threat is even more acute in Arab countries of the Gulf, which rely on desalination for more than 90 percent of their water supplies and are located much closer to rival Iran.
The Sorek plant is
heavily protected with fences, security cameras and guards, and it is
not connected to the Internet, instead using a private server, to
prevent cyber attacks. But like other key infrastructure, it could be
susceptible to missile strikes. During a 2006 war, for instance,
Lebanese Hezbollah militants attempted to strike an Israeli power plant.
Tenne,
of the Water Authority, acknowledged that "anything in Israel is
vulnerable," but said the same could be said for sensitive
infrastructure behind enemy lines. "I hope that people will be smart
enough not to harm infrastructure," he said.
Study: King Richard III maligned as hunchback
"Richard had a very squishy spine but it wouldn't have stuck out that obviously," said Piers Mitchell of the University of Cambridge, one of the study's authors. He said it was technically inaccurate to describe Richard III as a hunchback because his spine was bent sideways rather than forward.
"Unless you were pretty close to him, it's unlikely you would have noticed anything very wrong with him," Mitchell said.
He said the king's head and neck were straight, but his right shoulder was higher than his left and his upper body was relatively short compared to his limbs.
"With some padded shoulders or if the height of his trousers was adjusted, a sympathetic tailor could have hidden Richard's twisted back," Mitchell said.
By analyzing the king's remains, Mitchell and his colleagues also found that his scoliosis developed during adolescence and as a result he was a few inches shorter than he otherwise would have been.
Richard III died in 1485, the last English king killed on a battlefield. The new study was published online Thursday in the journal Lancet.
Some historians say the finding confirms contemporary accounts suggesting that Richard III had only a slight deformity.
"There are some people who referred to Richard's 'crooked back' but others are polite enough to ignore it," said Steven Gunn, an associate professor of history at Oxford University who was not part of the new research.
Gunn added that Richard's uneven posture may have gone mostly unnoticed, because many people in the 15th century had physical imperfections such as bowed legs from rickets, prominent war injuries or scars from diseases.
These days, someone with a similar severe case of scoliosis would probably have surgery to correct it — as did Princess Eugenie, the daughter of Prince Andrew. In 2002, Eugenie, seventh in line to the British throne, had titanium rods inserted into her spine and screws put into her neck to fix her curved spine.
Richard
III enthusiasts hope the new research will prompt more people to
reconsider the much-maligned king. Some believe Richard III had his two
young nephews murdered to keep his throne safe. But the king's
supporters say his reputation was tarnished by the rival Tudor dynasty;
portraits of Richard painted during his lifetime were later altered to
include a deformed shoulder.
"There
just isn't any evidence that Richard was the villain that he has been
made out to be," said Phil Stone, chairman of the Richard III Society.
"He had a curved back, but so what? That doesn't mean he was a monster."
US man finds lost mother in Amazon tribe
May 24, 2014
When David Good was a kid, and his friends asked where his mother was, he’d always say the same thing: She died in a car crash.
“I experimented with responses, and I found that the most effective,” David says. “I could see the horror in their faces” — he laughs — “and there would be no more questions.”
His dad, Ken, couldn’t understand: “I’d say, ‘Why don’t you just say your mom’s Venezuelan, and your parents are divorced? It’s so common.’ ”
But the story of David’s mom — who she was, where she came from and why she left — was so complicated and painful, he couldn’t bring himself to talk about it.
“I didn’t want my friends to know that my mom’s a naked jungle woman eating tarantulas,” he says today. “I didn’t want to be known as a half-breed. And it was my revenge; I was angry that she left me. So I just wanted to stick with the story that she was dead.”
They also have no word for “love.”
David’s father, Kenneth, was an anthropology student at the University of Pennsylvania who, under the tutelage of the prominent scholar Napoleon Chagnon, made his first trek to the Amazon in 1975. “I was older than the rest of the team, and a little more arrogant,” he says. Exasperated, Chagnon rid himself of Kenneth, sending him to the most remote part of the jungle.
There, he stumbled upon Yarima’s tribe. He was enthralled and fascinated, and made so many return trips that the Yanomami came to regard Kenneth as one of their own. “The head man of the village said, ‘You know, have a wife — you’ve been here for so long.’ ”
“Living down there, of course I didn’t care, and the Yanomami didn’t care,” Kenneth says. “Our culture is obsessed with numbers.”
He says that the Yanomami don’t have what we consider marriage; instead, they betroth their girls — even while in the womb — to tribesmen for later consummation.
Kenneth says that a girl can refuse her betrothal, but he knew Yarima had feelings for him, because she watched for him always, brought him food, ran down the riverbank when he was approaching.
Kenneth has always taken umbrage at the obvious question: How old was Yarima when their union was consummated? “PBS asked me that once, and I said, ‘You can be damn sure that she was the age of consent in most states and many countries around the world,’ ” he says. “Which I think is 13. The cultural age is what’s important down there. Don’t I have the right to do this or that in another culture?”
His former mentor Chagnon — himself controversial for depicting the tribe as bloodthirsty warriors — disagreed and openly criticized Kenneth for “marrying a teenager.” Kenneth’s family, too, disapproved.
“I brought Yarima home to my mother, and she said, ‘Jesus, it’s one thing to study these people — but to marry one? What are you going to do with someone who can only count to 2?’ I said, ‘We’ll work it out.’ ”
Kenneth conducted a long-distance marriage with Yarima, living part-time in the United States on his own, part-time with his young wife in the jungle. He was well-funded by a German institute and had an unlimited expense account, but the Venezuelan government made it difficult for him to come and go at will.
He knew his absences left Yarima vulnerable, but the work was just as important.
Before he departed for a short trip back to the States sometime in 1986, Kenneth told Yarima he’d be back by the full moon, or three weeks’ time. “But I was gone for four months,” he says, and Yarima, her protector gone, was gang-raped by 20 to 30 men over a period of weeks. Her earlobe was nearly shorn off.
“That,” Kenneth says, as if recalling a flat tire, or some other minor nuisance. “She was really angry with me. She said, ‘Why didn’t you come back sooner?’ ” He would later say he made an error in judgment by leaving her for so long, that he knew the Yanomami fear only a female’s husband and that this was a likely consequence.
Kenneth convinced Yarima to come with him to Caracas, so she could receive proper medical care; there, they saved her earlobe. Then he convinced her to come to America.
At the time, Yarima was nine months pregnant with David. They found a doctor to write a note, falsely claiming she was less far along, so that she could fly.
In November 1986, within a week of arriving in Bryn Mawr, Pa., Yarima went into labor and was panicked by the American hospital: the gurneys, the monitors, the machines, the needles. Once admitted, she sprung herself out of bed and attempted to give birth by squatting in the corner of the hospital room.
“It was so unnatural to her,” Kenneth says. “It went against everything she ever learned.”
After David was born, Kenneth attempted to settle Yarima into modern American domesticity, with a sprinkling of celebrity treatment: Around that time, a reporter at People magazine caught wind of their story, and in January 1987, Kenneth and Yarima — who spoke no English, no matter — were profiled in a feature called “An Amazon Love Story: Romance — and a Jumbo Jet — Took Yarima from the Stone Age to Philadelphia.”
Modal Trigger
Then came the book deal, the movie options, the wooing and flattering. “CBS wanted to do a miniseries,” Kenneth says. “I said, ‘No. I don’t watch television. I want the big screen.’ ”
Alan Alda called and said he wanted to write, direct and star as Kenneth. “I said, ‘Gee, Alan, isn’t that a lot for one man?’ ” Alan Pakula, director of “All the President’s Men” and “Sophie’s Choice,” wanted in, too.
Kenneth was feeling powerful. “Everybody wanted me,” Kenneth says. “I’m basically at the level of Pacino, De Niro, Redford. Then I get a call from Richard Gere. He says, ‘I just got off the plane from Sri Lanka and I read your People magazine article, and I want to get involved.’ I said, ‘What are you — a producer? A director?’ ’’
But he never heard from Gere again. Alda and Pakula also quit fighting over the rights, and the movie was never made.
Meanwhile, his wife was becoming ever more isolated and desperate. While Kenneth was teaching, Yarima would take the $20 he left every morning and go to Dunkin’ Donuts, then the $10 store, where she never knew how much she could buy. She had to adapt to wearing clothes every day and thought that running cars were animals on the attack. She had no friends.
“I miss my family,” Yarima told People magazine. “I want to go home.” Kenneth was her translator.
He says there was no debate over the children.
Kenneth never explained to the children anything about their mom — who she was, where she came from, why she left.
David says that for a few years, Kenneth would sit the kids in front of a video camera and have them beg her to come back.
“After two or three years, I began internalizing it as abandonment,” David says.
“Sometimes I would bring Yarima up,” Kenneth says. “And when I did — dead silence. I thought, ‘Well, that’s strange.’ ”
Once, when David was about 10 years old, his class took a field trip to the Museum of Natural History. They turned a corner to a small tribal exhibit and there he saw a blown-up photo of his mom, taken by his dad, right there on the wall.
“I just froze,” David says. “All the blood drained out of me. I ran to a dark corner and hid for 10 minutes.”
He never told his dad — who, in turn, had never told David about the day he got a call from the Museum of Natural History, looking to verify that this photo of Yarima was authentic and taken by him.
“We weren’t a touchy-feely, talk-about-things kind of family,” Kenneth says.
David hated his mother but missed her, too, and he resented his father for toting him around to events like some kind of experimental offspring.
“I really hated going with my dad to these conferences,” he says. “I remember the wife of a very prominent anthropologist — I was 12 or 13 at the time — asking me what I wanted for Christmas. I said, ‘A Nintendo 64 with Super Mario Bros.’ She looked at me in horror and said, ‘Oh, my God. You’re a typical American kid. I thought you’d be different.’ That really cut me.”
By 14, David was drinking heavily. He thought that kids who wanted to party would always hang out with other kids who wanted to party — no chance of abandonment there. And the alcohol sanded down the anguish, if only temporarily.
“I used to cry about my mom all the time,” David says. “Usually before I blacked out.
“This would be in public, in private. Then I’d wake up ashamed of myself. These are things my dad doesn’t even know . . . Anthropologists study humans, but they don’t know at all how to interact on a human level.”
His dad had a fundamental misreading of David’s identity crisis. “You know what I feel bad about?” Kenneth says. That the Yanomami are short. “David’s only 5-4. I mean, he’s shorter than Al Pacino.”
David found himself wondering what his mom’s side of the story could be. At 20, he began reading the book his dad had written back in 1991. “The parts where I could hear her voice — that was hard.”
At 21, he decided to stop drinking and go visit his mom.
He arrived in August 2011, the tribe expecting him. When his mother emerged, he recognized her immediately. She wore wooden shoots through her face and little clothing, and he felt immediately that he was her son in every way.
He’d thought a lot about whether to hug her — he wanted to, but he was too nervous, and the Yanomami don’t hug — so he put his hand on her shoulder and told her what he’d wanted to for years.
“I said, ‘Mama, I made it, I’m home. It took so long, but I made it.’ ” Yarima wept.
David stayed with the tribe for two weeks and made a monthlong return trip late last year. He doesn’t travel with anti-snake venom because he can’t afford it, but he also enjoys immersing himself in the culture he rejected for so long.
“My dad tells me not to walk around barefoot in my underwear, but I want to,” David says. When he’s in the jungle, he eats what the tribe eats: grub worms, termites, boa constrictors, monkeys, armadillo.
He has contracted parasites; gotten food poisoning; had mosquitoes attack all of his nether regions, and still he’s happy there.
“I really want to be Yanomami,” David says. “I want to trek through the jungle like they do.”
He says his mother has told him that she wants to come back to America for a visit, to see the rest of her family.
“It’s not like there’s closure,” David says. “We’re at the beginning of our story, in so many ways.”
................................................................“I experimented with responses, and I found that the most effective,” David says. “I could see the horror in their faces” — he laughs — “and there would be no more questions.”
His dad, Ken, couldn’t understand: “I’d say, ‘Why don’t you just say your mom’s Venezuelan, and your parents are divorced? It’s so common.’ ”
But the story of David’s mom — who she was, where she came from and why she left — was so complicated and painful, he couldn’t bring himself to talk about it.
“I didn’t want my friends to know that my mom’s a naked jungle woman eating tarantulas,” he says today. “I didn’t want to be known as a half-breed. And it was my revenge; I was angry that she left me. So I just wanted to stick with the story that she was dead.”
Stone Age to Philadelphia
David’s mother, Yarima, is a member of the Yanomami tribe of Venezuela. She was born and raised in the jungle, in a remote village that rarely, if ever, encounters any outsiders, let alone Westerners. Her age is unknown, because the Yanomami count only up to 2; anything more than that is called “many.” They have no electricity, no plumbing, no paved roads, no written language, no markets or currency, no medicine.They also have no word for “love.”
David’s father, Kenneth, was an anthropology student at the University of Pennsylvania who, under the tutelage of the prominent scholar Napoleon Chagnon, made his first trek to the Amazon in 1975. “I was older than the rest of the team, and a little more arrogant,” he says. Exasperated, Chagnon rid himself of Kenneth, sending him to the most remote part of the jungle.
There, he stumbled upon Yarima’s tribe. He was enthralled and fascinated, and made so many return trips that the Yanomami came to regard Kenneth as one of their own. “The head man of the village said, ‘You know, have a wife — you’ve been here for so long.’ ”
‘You can be damn
sure that she was the age of consent in most states and many countries
around the world, which I think is 13. The cultural age is what’s
important down there. Don’t I have the right to do this or that in
another culture?’
- Kenneth Good
In 1978, he was offered Yarima, who was then about 9 to 12. Good was 36. He saw no real problem.- Kenneth Good
“Living down there, of course I didn’t care, and the Yanomami didn’t care,” Kenneth says. “Our culture is obsessed with numbers.”
He says that the Yanomami don’t have what we consider marriage; instead, they betroth their girls — even while in the womb — to tribesmen for later consummation.
Kenneth says that a girl can refuse her betrothal, but he knew Yarima had feelings for him, because she watched for him always, brought him food, ran down the riverbank when he was approaching.
Kenneth has always taken umbrage at the obvious question: How old was Yarima when their union was consummated? “PBS asked me that once, and I said, ‘You can be damn sure that she was the age of consent in most states and many countries around the world,’ ” he says. “Which I think is 13. The cultural age is what’s important down there. Don’t I have the right to do this or that in another culture?”
His former mentor Chagnon — himself controversial for depicting the tribe as bloodthirsty warriors — disagreed and openly criticized Kenneth for “marrying a teenager.” Kenneth’s family, too, disapproved.
“I brought Yarima home to my mother, and she said, ‘Jesus, it’s one thing to study these people — but to marry one? What are you going to do with someone who can only count to 2?’ I said, ‘We’ll work it out.’ ”
Kenneth conducted a long-distance marriage with Yarima, living part-time in the United States on his own, part-time with his young wife in the jungle. He was well-funded by a German institute and had an unlimited expense account, but the Venezuelan government made it difficult for him to come and go at will.
He knew his absences left Yarima vulnerable, but the work was just as important.
Before he departed for a short trip back to the States sometime in 1986, Kenneth told Yarima he’d be back by the full moon, or three weeks’ time. “But I was gone for four months,” he says, and Yarima, her protector gone, was gang-raped by 20 to 30 men over a period of weeks. Her earlobe was nearly shorn off.
“That,” Kenneth says, as if recalling a flat tire, or some other minor nuisance. “She was really angry with me. She said, ‘Why didn’t you come back sooner?’ ” He would later say he made an error in judgment by leaving her for so long, that he knew the Yanomami fear only a female’s husband and that this was a likely consequence.
Kenneth convinced Yarima to come with him to Caracas, so she could receive proper medical care; there, they saved her earlobe. Then he convinced her to come to America.
At the time, Yarima was nine months pregnant with David. They found a doctor to write a note, falsely claiming she was less far along, so that she could fly.
In November 1986, within a week of arriving in Bryn Mawr, Pa., Yarima went into labor and was panicked by the American hospital: the gurneys, the monitors, the machines, the needles. Once admitted, she sprung herself out of bed and attempted to give birth by squatting in the corner of the hospital room.
“It was so unnatural to her,” Kenneth says. “It went against everything she ever learned.”
After David was born, Kenneth attempted to settle Yarima into modern American domesticity, with a sprinkling of celebrity treatment: Around that time, a reporter at People magazine caught wind of their story, and in January 1987, Kenneth and Yarima — who spoke no English, no matter — were profiled in a feature called “An Amazon Love Story: Romance — and a Jumbo Jet — Took Yarima from the Stone Age to Philadelphia.”
Modal Trigger
Then came the book deal, the movie options, the wooing and flattering. “CBS wanted to do a miniseries,” Kenneth says. “I said, ‘No. I don’t watch television. I want the big screen.’ ”
Alan Alda called and said he wanted to write, direct and star as Kenneth. “I said, ‘Gee, Alan, isn’t that a lot for one man?’ ” Alan Pakula, director of “All the President’s Men” and “Sophie’s Choice,” wanted in, too.
Kenneth was feeling powerful. “Everybody wanted me,” Kenneth says. “I’m basically at the level of Pacino, De Niro, Redford. Then I get a call from Richard Gere. He says, ‘I just got off the plane from Sri Lanka and I read your People magazine article, and I want to get involved.’ I said, ‘What are you — a producer? A director?’ ’’
But he never heard from Gere again. Alda and Pakula also quit fighting over the rights, and the movie was never made.
Meanwhile, his wife was becoming ever more isolated and desperate. While Kenneth was teaching, Yarima would take the $20 he left every morning and go to Dunkin’ Donuts, then the $10 store, where she never knew how much she could buy. She had to adapt to wearing clothes every day and thought that running cars were animals on the attack. She had no friends.
“I miss my family,” Yarima told People magazine. “I want to go home.” Kenneth was her translator.
‘Anthropologists don’t know humans’
In 1991, Kenneth made a deal with National Geographic: The whole family — which now included daughter Vanessa and baby Daniel — would return to the Amazon for a documentary. While there, Yarima told Kenneth she would not be going back to America.He says there was no debate over the children.
Once admitted to the hospital, Yarima sprung
herself out of bed and attempted to give birth by squatting in the
corner of the room.
“She knew the kids wouldn’t do well in the jungle,” Kenneth says.
“She told me to take Daniel” — then about 18 months old. “Babies get
sick there. They die.”Kenneth never explained to the children anything about their mom — who she was, where she came from, why she left.
David says that for a few years, Kenneth would sit the kids in front of a video camera and have them beg her to come back.
“After two or three years, I began internalizing it as abandonment,” David says.
“Sometimes I would bring Yarima up,” Kenneth says. “And when I did — dead silence. I thought, ‘Well, that’s strange.’ ”
Once, when David was about 10 years old, his class took a field trip to the Museum of Natural History. They turned a corner to a small tribal exhibit and there he saw a blown-up photo of his mom, taken by his dad, right there on the wall.
“I just froze,” David says. “All the blood drained out of me. I ran to a dark corner and hid for 10 minutes.”
He never told his dad — who, in turn, had never told David about the day he got a call from the Museum of Natural History, looking to verify that this photo of Yarima was authentic and taken by him.
“We weren’t a touchy-feely, talk-about-things kind of family,” Kenneth says.
David hated his mother but missed her, too, and he resented his father for toting him around to events like some kind of experimental offspring.
“I really hated going with my dad to these conferences,” he says. “I remember the wife of a very prominent anthropologist — I was 12 or 13 at the time — asking me what I wanted for Christmas. I said, ‘A Nintendo 64 with Super Mario Bros.’ She looked at me in horror and said, ‘Oh, my God. You’re a typical American kid. I thought you’d be different.’ That really cut me.”
By 14, David was drinking heavily. He thought that kids who wanted to party would always hang out with other kids who wanted to party — no chance of abandonment there. And the alcohol sanded down the anguish, if only temporarily.
“I used to cry about my mom all the time,” David says. “Usually before I blacked out.
“This would be in public, in private. Then I’d wake up ashamed of myself. These are things my dad doesn’t even know . . . Anthropologists study humans, but they don’t know at all how to interact on a human level.”
His dad had a fundamental misreading of David’s identity crisis. “You know what I feel bad about?” Kenneth says. That the Yanomami are short. “David’s only 5-4. I mean, he’s shorter than Al Pacino.”
David found himself wondering what his mom’s side of the story could be. At 20, he began reading the book his dad had written back in 1991. “The parts where I could hear her voice — that was hard.”
At 21, he decided to stop drinking and go visit his mom.
‘I want to be Yanomami’
‘I really want to be Yanomami, I want to trek through the jungle like they do.’
- David Good
It
took David three years to raise the money for a one-way, $700 ticket to
the Amazon. It also took about that long for him to summon the courage
to go. His siblings don’t quite understand yet and still want nothing to
do with their mother.
“That trip was all about uncertainty,” David says. “I didn’t know if
she would like me, or if I would like her, or if she would reject me.”- David Good
He arrived in August 2011, the tribe expecting him. When his mother emerged, he recognized her immediately. She wore wooden shoots through her face and little clothing, and he felt immediately that he was her son in every way.
He’d thought a lot about whether to hug her — he wanted to, but he was too nervous, and the Yanomami don’t hug — so he put his hand on her shoulder and told her what he’d wanted to for years.
“I said, ‘Mama, I made it, I’m home. It took so long, but I made it.’ ” Yarima wept.
David stayed with the tribe for two weeks and made a monthlong return trip late last year. He doesn’t travel with anti-snake venom because he can’t afford it, but he also enjoys immersing himself in the culture he rejected for so long.
“My dad tells me not to walk around barefoot in my underwear, but I want to,” David says. When he’s in the jungle, he eats what the tribe eats: grub worms, termites, boa constrictors, monkeys, armadillo.
He has contracted parasites; gotten food poisoning; had mosquitoes attack all of his nether regions, and still he’s happy there.
“I really want to be Yanomami,” David says. “I want to trek through the jungle like they do.”
He says his mother has told him that she wants to come back to America for a visit, to see the rest of her family.
“It’s not like there’s closure,” David says. “We’re at the beginning of our story, in so many ways.”
วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
There is always sth. benind the person's behaviour.
Boy tied to bus stop highlights struggle for disabled Indians
Mumbai (AFP) - The
nine-year-old boy dressed in blue lay listlessly on the pavement in the
scorching Mumbai summer afternoon, his ankle tethered with rope to a bus
stop, unheeded by pedestrians strolling past.
Lakhan Kale
cannot hear or speak and suffers from cerebral palsy and epilepsy, so
his grandmother and carer tied him up to keep him safe while she went to
work, selling toys and flower garlands on the city's roadsides.
"What
else can I do? He can't talk, so how will he tell anyone if he gets
lost?" said homeless Sakhubai Kale, 66, who raised Lakhan on the street
by the bus stop shaded by the hanging roots of a banyan tree.Lakhan's father died several years ago and his mother walked out on the family, his grandmother told AFP.
A
photograph of him tied up appeared in a local newspaper this week,
sparking concerns among charities and the police, and he has since been
taken into care at a government-run institution.
But
activists say his plight on the streets comes as little surprise in
India, where those with disabilities face daily stigma and
discrimination and a lack of facilities to assist them.
Kale said
Lakhan "tends to wander off" and that there was no one else to stop him
walking into traffic while she and her 12-year-old granddaughter, Rekha,
were out making a living.At night she would tie him to her own leg as they slept on the pavement so she would know if he tried to walk away.
"I am a single old woman. Nobody paid attention to me until the newspaper report," she said.
"He was in a special school, but they sent him back."
Social
worker Meena Mutha has since managed to place Lakhan in a state-run
south Mumbai home, which takes in a range of needy children from the
disabled to the destitute.
"Residental homes are very, very few.
There's a major need for the government to do something, a social
responsibility to provide residential centres for children like Lakhan,"
said Mutha, a trustee at the Manav Foundation helping people with
mental illness.She said government-run centres that put together children with different needs did not always have the range of facilities required.
"They don't have the infrastructure, the staff," said Mutha. Conversely, non-government organisations "have expertise, but not the space," she said, highlighting the squeeze on land in the densely-packed city.
Across India, the 40 to 60 million people with disabilities often face similar struggles to get the help they need, activists say.
"There's no collective responsibility. You have a disabled child, you look after it," said Varsha Hooja, chief executive at ADAPT, another charity working with disabled young adults and children.
- No state support -
Hooja said she had seen other cases of parents locking up children with disabilities while they go to work.
"The state gives no support," she said.
A long-awaited bill was introduced into the Indian parliament in February aiming to give disabled people equal rights -- including access to education, employment and legal redress against discrimination -- but it has yet to be passed.
Lawyer Rajive Raturi was on the committee that began drafting the bill five years ago, and said the Congress party-led government which has just lost power had pushed through a "complete dilution" of the original, especially on sections regarding women and children with disabilities.
Raturi, who handles disability cases at the Human Rights Law Network, said he hoped the new parliament elected this month, dominated by incoming prime minister Narendra Modi's right-wing Bharatiya Janata Party, would "listen to the stakeholders and then make a decision".
"We can't change attitudes with an act but if the bill has the right provisions, people will think twice," he said.
Back
by the Mumbai bus stop, Kale squatted on the pavement drinking chai and
eating bread on the morning after bidding a tearful goodbye to her
grandson.
She was hopeful she
would get to see him regularly once she acquired an official identity
card that would allow her to visit the centre.
"I am very happy," she said. "What else would I want other than for him to be looked after?"
-------------------------------------------------------
Crowds welcome Pope Francis to Jordan at start of Holy Land trip
By Laura Smith-Spark, Daniel Burke and Kevin Conlon, CNN
May 24, 2014
Pope Francis arrives in Jordan's capital
His trip has been billed as a "pilgrimage for prayer," with its roots in faith, not politics.
But in a region where religion and politics are so closely intertwined, his every remark will take on an added significance.
Thousands of faithful
packed the International Stadium in Amman for Saturday's Mass, in what
is a majority Muslim nation with a significant Christian community.
Small groups of cheering
supporters earlier lined the road, waving flags and chanting "Long live
the pope," as Francis' motorcade left the airport in Jordan's capital,
Amman, at the start of his three-day visit to the region.
The pope's first stop was at al-Husseini Royal Palace in Amman, where he met with Jordan's King Abdullah II.
In televised remarks
after that meeting, Francis paid tribute to Jordan's efforts to promote
interfaith tolerance and to the welcome the small nation has given to
Palestinian refugees and, more recently, those fleeing war-torn Syria.
Francis said it was "necessary and urgent" that a peaceful solution was found to the crisis in Syria.
He also called for a
"right solution with regard to the situation between Israel and the
Palestinians." Middle East peace talks recently stalled despite
high-profile efforts by U.S. Secretary of State John Kerry to push them
forward.
"I grasp this
opportunity to renew my esteem and respect for the Muslim community and
show my appreciation for the work carried out by his Majesty the King,
which is promoting further understanding between peoples of different
faith and communities of different faith," Francis said.
The Holy Land trip, also
taking in Bethlehem and Jerusalem, is the first for Francis as leader
of the Roman Catholic Church, and just the fourth for any pontiff in the
modern era.
It marks the 50th
anniversary of the landmark meeting between Pope Paul VI and the
then-spiritual leader of the world's Orthodox Christians, Patriarch
Athenagoras, in Jerusalem.
Landmark meeting
While in Jordan, Francis
will greet some of the 600,000 Syrians that have fled since the start
of the civil war in 2011, as well as refugees from Iraq. He will also
visit the River Jordan, where many Christians believe Jesus was
baptized.
Accompanying Francis on
his trip are Rabbi Abraham Skorka, who co-wrote a book with the pontiff,
and Sheikh Omar Abboud, who leads Argentina's Muslim community.
Pope Francis
Popes and the Queen
Popes and Presidents
The religion of the pope's traveling companions, both of whom hail from his home country, Argentina, is no coincidence.
"It's highly symbolic, of course," said the Rev. Thomas Rosica, a consultant to the Vatican press office.
"But it also sends a
pragmatic message to Muslims, Christians and Jews that it's possible to
work together -- not as a system of checks and balances but as friends."
In Bethlehem, Frances
will greet children from refugee camps, celebrate Mass in Manger Square,
lunch with Palestinian families, and visit the site of Jesus' birth.
The pope is expected to call for a Palestinian state, which has long
been Vatican policy.
And in Jerusalem, the
pontiff will meet the city's grand mufti and chief rabbis, visit the
Western Wall and Yad Vashem, a memorial to the Holocaust, and lay a
wreath on the grave of the founder of modern Zionism, Theodor Herzl. He
will also celebrate Mass at the site of the Last Supper.
Francis will meet with
the President of the Palestinian Authority, Mahmoud Abbas, in Bethlehem,
and with Israel's Prime Minister Benjamin Netanyahu and President
Shimon Peres while in Jerusalem.
...................................................................................
วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
Peru’s Royal Wari Tomb
Untouched
Grave robbers had plundered this ancient Peruvian site for decades. But they missed one royal tomb, hidden for more than 1,000 years.
By Heather Pringle
Photograph by Robert Clark
In the late afternoon light along the Peruvian coast, local
workmen gather as archaeologists Miłosz Giersz and Roberto Pimentel Nita
open a row of small sealed chambers near the entrance of an ancient
tomb. Concealed for more than a thousand years under a layer of heavy
adobe brick, the mini-chambers hold large ceramic jars, some bearing
painted lizards, others displaying grinning human faces. As Giersz pries
loose the brick from the final compartment, he grimaces. “It smells
awful down here,” he splutters. He peers warily into a large undecorated
pot. It’s full of decayed puparia, traces of flies once drawn to the
pot’s contents. The archaeologist backs away and stands up, slapping a
cloud of 1,200-year-old dust from his pants. In three years of digging
at this site, called El Castillo de Huarmey, Giersz has encountered an
unexpected ecosystem of death—from traces of insects that once fed on
human flesh, to snakes that coiled and died in the bottoms of ceramic
pots, to Africanized killer bees that swarmed out of subterranean
chambers and attacked workers.
Plenty of people had warned Giersz that excavating in the rubble of El Castillo would be difficult, and almost certainly a waste of time and money. For at least a century looters had tunneled into the slopes of the massive hill, searching for tombs containing ancient skeletons decked out in gold and wrapped in some of the finest woven tapestries ever made. The serpent-shaped hill, located a four-hour drive north of Lima, looked like a cross between the surface of the moon and a landfill site—pitted with holes, littered with ancient human bones, and strewn with modern garbage and rags. The looters liked to toss away their clothing before they returned home for fear of bringing sickness from the dead to their families.
But Giersz, an affable 36-year-old maverick who teaches Andean archaeology at the University of Warsaw, was determined to dig there anyway. Something important had happened at El Castillo 1,200 years ago, Giersz was sure of that. Bits of textiles and broken pottery from Peru’s little-known Wari civilization, whose heartland lay far to the south, dotted the slopes. So Giersz and a small research team began imaging what lay underground with a magnetometer and taking aerial photos with a camera on a kite. The results revealed something that generations of grave robbers had missed: the faint outlines of buried walls running along a rocky southern spur. Giersz and a Polish-Peruvian team applied for permission to begin digging.
The faint outline turned out to be a massive maze of towers and high walls spread over the entire southern end of El Castillo. Once painted crimson red, the sprawling complex seemed to be a Wari temple dedicated to ancestor worship. As the team dug down beneath a layer of heavy trapezoidal bricks in the fall of 2012, they discovered something few Andean archaeologists ever expected to find: an unlooted royal tomb. Inside were interred four Wari queens or princesses, at least 54 other highborn individuals, and more than a thousand elite Wari goods, from huge gold ear ornaments to silver bowls and copper-alloy axes, all of the finest workmanship.
“This is one of the most important discoveries in recent years,” says Cecilia Pardo Grau, the curator of pre-Columbian art at the Art Museum of Lima. While Giersz and his team continue to excavate and explore the site, analysis of the finds is shedding new light on the Wari and their wealthy ruling class.
Emerging from obscurity in Peru’s Ayacucho Valley by the seventh century a.d.,
the Wari rose to glory long before the Inca, in a time of repeated
drought and environmental crisis. They became master engineers,
constructing aqueducts and complex canal systems to irrigate their
terraced fields. Near the modern city of Ayacucho they founded a
sprawling capital, known today as Huari. At its zenith Huari boasted a
population of as many as 40,000 people—a city larger than Paris at the
time, which had no more than 20,000 inhabitants. From this stronghold
the Wari lords extended their domain hundreds of miles along the Andes
and into the coastal deserts, forging what many archaeologists call the
first empire in Andean South America.
Researchers have long puzzled over exactly how the Wari built and governed this vast, unruly realm, whether through conquest or persuasion or some combination of both. Unlike most imperial powers, the Wari had no system of writing and left no recorded narrative history. But the rich finds at El Castillo, a journey of some 500 miles from the Wari capital, are filling in many blanks.
The foreign invaders probably first appeared on this stretch of coast around the end of the eighth century. The region lay along what was then the southern frontier of the wealthy Moche lords, and it seems to have lacked strong local leaders. Just how the invaders launched their offensive is unclear, but an important ceremonial drinking cup discovered in El Castillo’s imperial tomb depicts poleax-wielding Wari warriors battling coastal defenders brandishing spear throwers. When the fog of war lifted, the Wari were in firm control. The new lord constructed a palace at the foot of El Castillo, and over time he and his successors began transforming the steep hill above into a towering temple devoted to ancestor worship.
Cloaked in nearly a thousand years of rubble and wind-borne sediment, El Castillo today looks like a huge stepped pyramid, a monument built from the bottom up. But from the beginning Giersz suspected that there was more to El Castillo than met the eye. To tease out the building plan, he invited a team of architecture experts to examine the newly exposed staircases and walls. Their studies revealed something that Giersz had suspected—that Wari engineers began construction along the very top of El Castillo, a natural rock formation, and eventually worked their way downward. They adapted this method from elsewhere, says Krzysztof Makowski, an archaeologist at the Pontifical Catholic University of Peru in Lima and the El Castillo project’s scientific adviser. “In the mountains the Wari made agricultural terraces, and they started at the top.” As they moved downward, they cut into the slopes to make a tier of platforms.
Along the summit of El Castillo the builders first carved out a subterranean chamber that became the imperial tomb. When it was ready for sealing, laborers poured in more than 30 tons of gravel and capped the entire chamber with a layer of heavy adobe bricks. Then they raised a mausoleum tower above, with crimson walls that could be seen for miles around. The Wari elite left rich offerings in small chambers inside, from the finely woven textiles that ancient Andean peoples valued more highly than gold; to knotted cords known as khipus, used for keeping track of imperial goods; to the body parts of the Andean condor, a bird closely associated with the Wari aristocracy. (Indeed, one title of the Wari emperor may well have been Mallku, an Andean word meaning “condor.”)
At the center of the tower was a room containing a throne. In later times looters reported to a German archaeologist that they found mummies arrayed in wall niches there. “We are pretty sure this room was used for the veneration of the ancestors,” says Giersz. It may even have been used for venerating the emperor’s mummy, yet to be discovered by the team.
To rub shoulders in death with members of the royal dynasty, nobles staked out places on the summit for mausoleums of their own. When they exhausted all the available space there, they engineered more, building stepped terraces all the way down the slopes of El Castillo and filling them with funerary towers and graves. So important was El Castillo to the Wari nobles, says Giersz, that they “used every possible local worker.” Dried mortar in many of the newly exposed walls bears human handprints, some left by children as young as 11 or 12 years old.
When the construction ended, likely sometime between a.d. 900 and 1000, an immense crimson necropolis loomed over the valley. Though inhabited by the dead, El Castillo conveyed a powerful political message to the living: The Wari invaders were now the rightful rulers. “If you want to take possession of the land,” says Makowski, “you have to show that your ancestors are inscribed on the landscape. That’s part of Andean logic.”
In a small walled chamber along the western slopes of the necropolis, Wiesław Więckowski hunches over a mummified human arm, brushing sand away from its gaunt fingers. For the better part of an hour now the University of Warsaw bioarchaeologist has been clearing this part of the chamber, collecting debris from a Wari funerary bundle and looking for the rest of the body. It’s slow, delicate work. As he edges his trowel into the corner of the room, he exposes part of a human femur lodged in a jagged hole in the wall. Więckowski frowns in disappointment. Looters, he explains, probably tried to haul the mummy out from an adjacent room and literally pulled it to pieces. “All we can say is that the mummy was a male person and quite old.”
A specialist in the study of human remains, Więckowski has begun analyzing the skeletons of all the individuals found in and near the imperial tomb. Preservation of human soft tissue in the sealed chamber was poor, Więckowski says, but his studies are starting to fill in key details of the lives and deaths of the highborn women and their guardians.
Almost all of those buried inside the chamber were women and girls who had likely died over a period of months, most probably of natural causes. The Wari treated them in death with great respect. Attendants dressed them in richly woven tunics and shawls, painted their faces with a sacred red pigment, and adorned them with precious jewelry, from gold ear flares to delicate crystal-beaded necklaces. Then mourners arranged their bodies in the flexed position favored by the Wari and wrapped each in a large cloth to form a funerary bundle.
Their social rank, says Więckowski, mattered as much in death as it did in life. Attendants placed the highest ranked women—perhaps queens or princesses—in three private side chambers in the tomb. The most important, a female of about 60, lay surrounded by rare luxuries, from multiple pairs of ear ornaments to a bronze ceremonial ax and a silver goblet. The archaeologists marveled at her wealth and conspicuous consumption. “This lady, what was she doing?” muses Makowski. “She was weaving with golden instruments, like a true queen.”
Beyond, in a large common area, attendants arranged the lesser noblewomen along the walls. Beside each, with few exceptions, they laid a container roughly the size and shape of a shoe box. Made of cut canes, it stored all the weaving tools needed to create high-quality cloth. Wari women were consummate weavers, producing tapestry-like cloth with yarn counts higher than those of the famous Flemish and Dutch weavers of the 16th century. The noblewomen buried at El Castillo were clearly dedicated to this art, creating textiles of the finest quality for the Wari elite.
When the chamber was ready for sealing, attendants brought the last offerings up the slopes of El Castillo: human sacrifices. There were six individuals in all, three children—including what might be a nine-year-old girl—and three young adults. It’s possible, says Więckowski, the victims were the offspring of the conquered nobility. “If you are the ruler and want people to prove their loyalty to the lineage, you take their children,” he says. When the killings were done, attendants threw the corpses into the tomb. Then they closed the chamber, placing the wrapped corpses of a young adult male in his prime and of an older woman at the entrance as guards. Each body had lost a left foot, perhaps ensuring that they couldn’t desert their posts.
Więckowski is awaiting the results of DNA analyses and isotopic tests to learn more about the females in the tomb and where they might have come from. But for Giersz the evidence is all beginning to add up to a detailed picture of the Wari invasion of the north coast. “The fact that they built an important temple here, on a prominent piece of land along the former borders of the Moche, strongly suggests that the Wari conquered the region and intended to stay.”
In a quiet back room at the Art Museum of Lima, El Castillo’s archaeologists beam as they examine some of the newly cleaned finds. For weeks now conservators have been stripping away the thick, black patina that coated many of the metal artifacts, revealing glimmering designs. Cushioned in tissue paper are three gold ear ornaments, each roughly the size of a doorknob and bearing the image of a winged deity or mythical being. Team member Patrycja Prządka-Giersz, a University of Warsaw archaeologist who is married to Giersz, looks them over in delight. These adornments, she says, “are all different, and we can only see them after conservation.”
Peering inside a large cardboard box on the table, Giersz finds one of the team’s prize discoveries: a ceramic pilgrim’s flask. Richly painted and decorated, the flask depicts a sumptuously dressed Wari lord voyaging by balsa raft across coastal waters teeming with whales and other sea creatures. Found among the cherished grave goods of a dead queen at El Castillo, the 1,200-year-old flask seems to portray an event—partly mythical, partly real—in the history of the north coast, the arrival of an important Wari lord, possibly even the Wari emperor himself. “And so we are starting to make a story of the Wari emperor who takes to the sea in a raft,” says Makowski with a smile, “an emperor who dies on the Huarmey coast accompanied by his wives.”
For now it is only a story, an educated archaeological guess. But Giersz, the maverick who saw the buried outlines of walls where others saw only looters’ rubble, still thinks that the tomb of a great Wari lord may lie somewhere in the maze of walls and subterranean chambers. And if the looters haven’t beaten him to the punch, he intends to find it.
........................................................................................
Plenty of people had warned Giersz that excavating in the rubble of El Castillo would be difficult, and almost certainly a waste of time and money. For at least a century looters had tunneled into the slopes of the massive hill, searching for tombs containing ancient skeletons decked out in gold and wrapped in some of the finest woven tapestries ever made. The serpent-shaped hill, located a four-hour drive north of Lima, looked like a cross between the surface of the moon and a landfill site—pitted with holes, littered with ancient human bones, and strewn with modern garbage and rags. The looters liked to toss away their clothing before they returned home for fear of bringing sickness from the dead to their families.
But Giersz, an affable 36-year-old maverick who teaches Andean archaeology at the University of Warsaw, was determined to dig there anyway. Something important had happened at El Castillo 1,200 years ago, Giersz was sure of that. Bits of textiles and broken pottery from Peru’s little-known Wari civilization, whose heartland lay far to the south, dotted the slopes. So Giersz and a small research team began imaging what lay underground with a magnetometer and taking aerial photos with a camera on a kite. The results revealed something that generations of grave robbers had missed: the faint outlines of buried walls running along a rocky southern spur. Giersz and a Polish-Peruvian team applied for permission to begin digging.
The faint outline turned out to be a massive maze of towers and high walls spread over the entire southern end of El Castillo. Once painted crimson red, the sprawling complex seemed to be a Wari temple dedicated to ancestor worship. As the team dug down beneath a layer of heavy trapezoidal bricks in the fall of 2012, they discovered something few Andean archaeologists ever expected to find: an unlooted royal tomb. Inside were interred four Wari queens or princesses, at least 54 other highborn individuals, and more than a thousand elite Wari goods, from huge gold ear ornaments to silver bowls and copper-alloy axes, all of the finest workmanship.
“This is one of the most important discoveries in recent years,” says Cecilia Pardo Grau, the curator of pre-Columbian art at the Art Museum of Lima. While Giersz and his team continue to excavate and explore the site, analysis of the finds is shedding new light on the Wari and their wealthy ruling class.
Researchers have long puzzled over exactly how the Wari built and governed this vast, unruly realm, whether through conquest or persuasion or some combination of both. Unlike most imperial powers, the Wari had no system of writing and left no recorded narrative history. But the rich finds at El Castillo, a journey of some 500 miles from the Wari capital, are filling in many blanks.
The foreign invaders probably first appeared on this stretch of coast around the end of the eighth century. The region lay along what was then the southern frontier of the wealthy Moche lords, and it seems to have lacked strong local leaders. Just how the invaders launched their offensive is unclear, but an important ceremonial drinking cup discovered in El Castillo’s imperial tomb depicts poleax-wielding Wari warriors battling coastal defenders brandishing spear throwers. When the fog of war lifted, the Wari were in firm control. The new lord constructed a palace at the foot of El Castillo, and over time he and his successors began transforming the steep hill above into a towering temple devoted to ancestor worship.
Cloaked in nearly a thousand years of rubble and wind-borne sediment, El Castillo today looks like a huge stepped pyramid, a monument built from the bottom up. But from the beginning Giersz suspected that there was more to El Castillo than met the eye. To tease out the building plan, he invited a team of architecture experts to examine the newly exposed staircases and walls. Their studies revealed something that Giersz had suspected—that Wari engineers began construction along the very top of El Castillo, a natural rock formation, and eventually worked their way downward. They adapted this method from elsewhere, says Krzysztof Makowski, an archaeologist at the Pontifical Catholic University of Peru in Lima and the El Castillo project’s scientific adviser. “In the mountains the Wari made agricultural terraces, and they started at the top.” As they moved downward, they cut into the slopes to make a tier of platforms.
Along the summit of El Castillo the builders first carved out a subterranean chamber that became the imperial tomb. When it was ready for sealing, laborers poured in more than 30 tons of gravel and capped the entire chamber with a layer of heavy adobe bricks. Then they raised a mausoleum tower above, with crimson walls that could be seen for miles around. The Wari elite left rich offerings in small chambers inside, from the finely woven textiles that ancient Andean peoples valued more highly than gold; to knotted cords known as khipus, used for keeping track of imperial goods; to the body parts of the Andean condor, a bird closely associated with the Wari aristocracy. (Indeed, one title of the Wari emperor may well have been Mallku, an Andean word meaning “condor.”)
At the center of the tower was a room containing a throne. In later times looters reported to a German archaeologist that they found mummies arrayed in wall niches there. “We are pretty sure this room was used for the veneration of the ancestors,” says Giersz. It may even have been used for venerating the emperor’s mummy, yet to be discovered by the team.
To rub shoulders in death with members of the royal dynasty, nobles staked out places on the summit for mausoleums of their own. When they exhausted all the available space there, they engineered more, building stepped terraces all the way down the slopes of El Castillo and filling them with funerary towers and graves. So important was El Castillo to the Wari nobles, says Giersz, that they “used every possible local worker.” Dried mortar in many of the newly exposed walls bears human handprints, some left by children as young as 11 or 12 years old.
When the construction ended, likely sometime between a.d. 900 and 1000, an immense crimson necropolis loomed over the valley. Though inhabited by the dead, El Castillo conveyed a powerful political message to the living: The Wari invaders were now the rightful rulers. “If you want to take possession of the land,” says Makowski, “you have to show that your ancestors are inscribed on the landscape. That’s part of Andean logic.”
In a small walled chamber along the western slopes of the necropolis, Wiesław Więckowski hunches over a mummified human arm, brushing sand away from its gaunt fingers. For the better part of an hour now the University of Warsaw bioarchaeologist has been clearing this part of the chamber, collecting debris from a Wari funerary bundle and looking for the rest of the body. It’s slow, delicate work. As he edges his trowel into the corner of the room, he exposes part of a human femur lodged in a jagged hole in the wall. Więckowski frowns in disappointment. Looters, he explains, probably tried to haul the mummy out from an adjacent room and literally pulled it to pieces. “All we can say is that the mummy was a male person and quite old.”
A specialist in the study of human remains, Więckowski has begun analyzing the skeletons of all the individuals found in and near the imperial tomb. Preservation of human soft tissue in the sealed chamber was poor, Więckowski says, but his studies are starting to fill in key details of the lives and deaths of the highborn women and their guardians.
Almost all of those buried inside the chamber were women and girls who had likely died over a period of months, most probably of natural causes. The Wari treated them in death with great respect. Attendants dressed them in richly woven tunics and shawls, painted their faces with a sacred red pigment, and adorned them with precious jewelry, from gold ear flares to delicate crystal-beaded necklaces. Then mourners arranged their bodies in the flexed position favored by the Wari and wrapped each in a large cloth to form a funerary bundle.
Their social rank, says Więckowski, mattered as much in death as it did in life. Attendants placed the highest ranked women—perhaps queens or princesses—in three private side chambers in the tomb. The most important, a female of about 60, lay surrounded by rare luxuries, from multiple pairs of ear ornaments to a bronze ceremonial ax and a silver goblet. The archaeologists marveled at her wealth and conspicuous consumption. “This lady, what was she doing?” muses Makowski. “She was weaving with golden instruments, like a true queen.”
Beyond, in a large common area, attendants arranged the lesser noblewomen along the walls. Beside each, with few exceptions, they laid a container roughly the size and shape of a shoe box. Made of cut canes, it stored all the weaving tools needed to create high-quality cloth. Wari women were consummate weavers, producing tapestry-like cloth with yarn counts higher than those of the famous Flemish and Dutch weavers of the 16th century. The noblewomen buried at El Castillo were clearly dedicated to this art, creating textiles of the finest quality for the Wari elite.
When the chamber was ready for sealing, attendants brought the last offerings up the slopes of El Castillo: human sacrifices. There were six individuals in all, three children—including what might be a nine-year-old girl—and three young adults. It’s possible, says Więckowski, the victims were the offspring of the conquered nobility. “If you are the ruler and want people to prove their loyalty to the lineage, you take their children,” he says. When the killings were done, attendants threw the corpses into the tomb. Then they closed the chamber, placing the wrapped corpses of a young adult male in his prime and of an older woman at the entrance as guards. Each body had lost a left foot, perhaps ensuring that they couldn’t desert their posts.
Więckowski is awaiting the results of DNA analyses and isotopic tests to learn more about the females in the tomb and where they might have come from. But for Giersz the evidence is all beginning to add up to a detailed picture of the Wari invasion of the north coast. “The fact that they built an important temple here, on a prominent piece of land along the former borders of the Moche, strongly suggests that the Wari conquered the region and intended to stay.”
In a quiet back room at the Art Museum of Lima, El Castillo’s archaeologists beam as they examine some of the newly cleaned finds. For weeks now conservators have been stripping away the thick, black patina that coated many of the metal artifacts, revealing glimmering designs. Cushioned in tissue paper are three gold ear ornaments, each roughly the size of a doorknob and bearing the image of a winged deity or mythical being. Team member Patrycja Prządka-Giersz, a University of Warsaw archaeologist who is married to Giersz, looks them over in delight. These adornments, she says, “are all different, and we can only see them after conservation.”
Peering inside a large cardboard box on the table, Giersz finds one of the team’s prize discoveries: a ceramic pilgrim’s flask. Richly painted and decorated, the flask depicts a sumptuously dressed Wari lord voyaging by balsa raft across coastal waters teeming with whales and other sea creatures. Found among the cherished grave goods of a dead queen at El Castillo, the 1,200-year-old flask seems to portray an event—partly mythical, partly real—in the history of the north coast, the arrival of an important Wari lord, possibly even the Wari emperor himself. “And so we are starting to make a story of the Wari emperor who takes to the sea in a raft,” says Makowski with a smile, “an emperor who dies on the Huarmey coast accompanied by his wives.”
For now it is only a story, an educated archaeological guess. But Giersz, the maverick who saw the buried outlines of walls where others saw only looters’ rubble, still thinks that the tomb of a great Wari lord may lie somewhere in the maze of walls and subterranean chambers. And if the looters haven’t beaten him to the punch, he intends to find it.
........................................................................................
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)