ประเพณีชนกว่างนักสู้แห่งเมืองเหนือ
จากวิถีชีวิตของชาวบ้านตามชนบทต่างๆ 
ของทางภาคเหนือตอนบน ในช่วงกลางๆ ฤดูฝนส่งให้มวลต้นไม้เขียวขจี 
แตกกิ่งก้านสาขา งอกงามเพื่อออกดอก ออกผล ก็มีแมลงหลายชนิดถึงวงจร 
โตเป็นตัวเต็มวัย กลายเป็นวัยเจริญพันธุ์เพื่อสืบลูกหลาน และคงปฏิเสธไม่ได้
 ว่าแมลงผู้ทรงพลังเหมือนช้าง คือ แมลงกว่าง นั่นเอง ด้วยมีรูปร่าง สีสัน 
สวยงาม ลีลาท่าทางสง่างามมาก 
และช่วงที่ชาวชนบทว่างจะการทำนาแล้วก็หันมาหากว่างในป่ามาขายสร้างรายได้งาม
 เพราะว่าเป็นที่ต้องการของนักชนกว่างมาก จะมีประเพณีชนกว่างในหนึ่งปี 
มีระยะเวลาในการต่อสู้ของเจ้านักสู้ตัวกว่างในช่วงปลายเดือน 
เดือนกันยายน-พฤศจิกายน เป็นช่วงเดือนที่จะเริ่มมีการชนกว่าง 
ช่วงหัวค่ำก็จะเริ่มจากชักชวนเพื่อนบ้านกันไปหาสถานที่หรือสนามชนกว่าง 
ตามแต่ละหมู่บ้านที่มีการชนกว่าง หรือต่างอำเภอ และไม่จำกัดสถานที่ 
แล้วนำกว่างตัวที่เก่งที่สุดของแต่ละคนมาโชว์และนำมาเปรียบเทียบตัวกว่างถ้า
เจ้าของกว่างทั้ง 2 ฝ่ายตกลงสถานที่ 
ร่วมกับการชนกว่างเพื่อประลองความเก่งและความอดทนของกว่างของแต่ละคู่ 
ตามวิถีชีวิตของชาวชนบท ที่มีประเพณีกันช้านาน
“กว่าง” 
สุดยอดแมลงปีกแข็งที่มีพลังมหาศาลมากมาย ที่มีคู่ต่อสู้ที่แข็งแรง 
เพื่อแย่งชิงกว่างตัวเมียเพื่อเอามาครองมาให้ได้ 
แมงกว่างเป็นชื่อเรียกด้วงปีกแข็งชนิดหนึ่ง มี 6 ขา กว่าง มี 2 เขา 
กว่างบางชนิดมีถึง 5 เขาและตัวที่ไม่มีเขาเป็นกว่างตัวเมีย 
แมงกว่างจะชอบกินน้ำหวานจากอ้อย เป็นหลัก 
กว่างนักรบเจ้าของที่เลี้ยงไว้จะดูแลเป็นพิเศษมากๆ ให้อ้อยเป็นอย่างดี 
การทดลองลงสนามต่อสู้ของเจ้าแมงกว่าง มี 2-3 ครั้ง 
เมื่อชนะติดต่อกันแล้วนำไปเลี้ยงประมาณ 1 อาทิตย์ 
สามารถลงสนามต่อสู้ที่เจ้าของกว่างได้เดินทางมารอเปรียบเทียบคู่ 
เหมือนนักมวยที่เปรียบเทียบ ที่จะทำการประลองกันในสนามนักสู้
ในสมัยก่อนชาวบ้านมีเวลาว่าง 
เพราะข้าวที่ปลูกไว้กำลังตั้งท้อง เมื่อว่างจากการงาน 
ก็จะมีเด็กและผู้ใหญ่เดินทางเข้าไปในป่าเพื่อหากว่างตามต้นไม้ 
ที่ตัวกว่างชอบอยู่เช่นต้นข่อยหรือตามยอดของหน่อไม้หรือต้นไม้ใหญ่ที่กว่า
สามารถจับ กว่างจะมีอยู่ป่าในเขตของหมู่บ้านที่มีต้นไม้เครือเถาขึ้นปกคลุม 
โดยเฉพาะในเวลาเช้าๆ จะหาได้ง่ายกว่า 
เพราะกว่างกลางคืนจะบินไปเกาะตามต้นไม้ช่วงเช้าๆ 
เกาะอยู่ต้นไม้จะไม่บินไปไหน
การหากว่างอีกวิธีหนึ่งโดยไม่ต้องเดินทาง
ไปในป่า ก็คือการตั้งกว่างหรือใช้กว่างล่อ โดยใช้กว่างที่มีขนาดเล็ก เช่น 
กว่างกิ กว่างแซม ผูกด้วยเชือกมัดกับเขากว่างแล้วมัดกับเสาไม้ที่เหลาไว้ 
ปักกับอ้อยที่ปอกครึ่งท่อน ผูกกว่างขนาดเล็กไว้เป็นกว่างล่อ 
โดยใช้เหล็กทำเป็นตะขอเจาะเข้ากับอ้อยอีกด้านหนึ่งเอาไว้ห้อยแขวนกับต้นไม้
หรือรอบตัวบ้าน โดยหาทำเลที่เป็นชายป่าหรือในบริเวณที่ใกล้กับเนินดิน 
การแขวนให้สูงพอสมควร ในตอนกลางคืน กว่างตัวล่อ 
จะบินมีเสียงดังบินวนเวียนไปมาเพื่อดึงดูดล่อให้กว่างที่บินเวลากลางคืนให้
เข้ามาหาเพื่อติดกับ โดยมีอ้อยล่อเป็นอาหารเอาไว้ 
ถ้าเป็นกว่างโซ้งก็นำไปเลี้ยงไว้เพื่อทดสอบลองชน 
ถ้าเป็นกว่างแซมก็เก็บไว้เป็นกว่างล่อ 
ถ้าเป็นกว่างตัวเมียที่เรียกว่ากว่างแม่อีหลุ้มก็เก็บใส่กระป๋องและใส่อ้อย
ข้างในเลี้ยงไว้เพื่อใช้ล่อให้กว่างตัวผู้ชนกัน
กว่างมีวงจรชีวิตประมาณ 1 ปี 
คือช่วงต้นฤดูฝน ประมาณเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม 
กว่างทั้งตัวผู้และตัวเมียจะขึ้นมาจากใต้ดิน เพื่อมาผสมพันธุ์และวางไข่ 
ซึ่งใช้วงจรชีวิตช่วงนี้ประมาณ 4 เดือน พอเข้าในฤดูหนาว 
กว่างตัวเมียหลังจากผสมพันธุ์ก็จะขุดดินแล้ววางไข่ ส่วนตัวเองก็จะตาย 
ไข่ก็ฟักเป็นตัวหนอน เป็นดักแด้อาศัยอยู่ใต้ผิวดิน 
จนถึงต้นฤดูฝนก็จะหมุดดินขึ้นมาผสมพันธุ์ดำรงชีวิตสืบลูกหลานต่อไป
ชนิดของกว่างนั้นมีอยู่หลากหลายมากมาย 
มีทั้งสวยงามและเอาไว้แข่งขันโดยตรงก็มี ลองมาดูกันว่ากว่างมีกี่ชนิด 
แล้วชาวหมูหิน.คอม จะมีกว่างบ้างไหมหนอ กว่างของใครชนิดไหนลองดูกัน
ชนิดของกว่าง กว่างมีหลายชนิดเช่น
กว่างกิ 
หมายถึงกว่างตัวผู้ที่มีเขาข้างบนสั้น (กิแปลว่าสั้น) 
เขาบนจะออกจากหัวออกมานิดเดียวกว่างกิจะต่อสู้หรือชนกันโดยใช้เขาล่างงัดกัน
 แต่ไม่สามารถใช้เขาหนีบคู่ต่อสู้ได้ จึงไม่นิยมนำมาใช้เป็นกว่างชน
กว่างซาง : เป็นกว่างขนาดใหญ่ 
สีของปีกออกไปทางสีครีมหรือสีหม่น มีเขา 5 เขา ข้างบนมี 4 เขา 
เรียงกันจากซ้ายไปขวาข้างล่างมี 1 เขา ไม่นิยมนำมาชนกัน 
เพราะอืดอาดไม่แคล่วคล่องว่องไว ชนไม่สนุก
กว่างโซ้ง : กว่างโซ้ง 
ตัวผู้มีเขายาวและหนาทั้งข้างล่างข้างบน ลำตัวสีน้ำตาลแดงกว่า 
กว่างชนิดนี้มักจะส่งเสียง “ซี่ ๆ” ตลอดเวลา ที่นิยมใช้ชนกันมาก
กว่างแซม : มีลักษณะคล้ายกับกว่างโซ้ง 
แต่ตัวเล็กกว่าเล็กน้อย เขาก็สั้นและเรียวเล็ก 
กว่างชนิดนี้เลี้ยงไว้เป็นคู่ซ้อมหรือให้เด็กๆ เล่นกัน
กว่างก๋าฮักหรือกว่างรัก : 
กว่างก๋าฮักนี้ตัวมีสีดำ เหมือนสีของน้ำรัก 
รูปร่างและขนาดใกล้เคียงกับกว่างแซม กว่างชนิดนี้ไม่ค่อยใช้ชนกัน 
เพราะว่าเวลาชนแล้วจะไม่อดทน จะแพ้ตลอด และสู้กว่างโซ้งไม่ได้
กว่างแม่อีหลุ้ม : 
คือกว่างตัวเมียซึ่งไม่มีเขา กว่างชนิดนี้บางแห่งเรียก 
กว่างแม่อู้ด,กว่างแม่มูดหรือกว่างแม่อีดุ้ม 
กว่างตัวเมียนี้จะมีทั้งชนิดตัวเล็กและตัวใหญ่ มีทั้งสีน้ำตาลและสีดำ 
กินจุกว่ากว่างตัวผู้ ริมปากมีลักษณะเป็นฝาสำหรับขุด 
ซึ่งจะขุดอ้อยให้เห็นแอ่งเป็นขุยเห็นได้ชัด 
ปกติจะใช้กว่างแม่อีหลุ้มนี้เป็นตัวล่อให้กว่างตัวผู้ชนกัน 
กว่างตัวเมียนี้เมื่อผสมพันธุ์แล้วจะขุดรูลงดินเพื่อวางไข่แล้วก็ตาย
กว่างหนวดขาว : ลักษณะเหมือนกับกว่างโซ้ง 
แต่ต่างกันที่ตรงหนวดจะมีสีขาว เชื่อกันว่าเป็นพญากว่าง 
กว่างหนวดขาวนี้จะชนจะสู้กับกว่างทุกขนาด 
กว่างหนวดดำจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เพราะเกรงกลัวอำนาจของพญา 
บางครั้งกำลังชนกันพอรู้ว่าเป็นพญากว่าง 
กว่างหนวดดำหรือกว่างธรรมดาก็จะถอดหนี คือไม่ยอมเข้าหนีบด้วย 
มีนักเล่นกว่างบางคนหัวใส 
เมื่อได้กว่างหนวดขาวมาก็พยายามยอมหนวดของกว่างให้เป็นสีดำเหมือนกับกว่าง
ทั่วไป โดยใช้ยางไม้กับหินหม้อผสมกัน แต้มหนวดขาวให้เป็นดำ 
เมื่อนำไปชนบางครั้งสีที่ย้อมหนวดหลุดออกอีกฝ่ายจับได้ว่าใช้กว่างหนวดขาว
ปลอมมาชน เกิดทะเลาะกันก็มี
กว่างหาง : มีลักษณะคล้ายกับกว่างโซ่ง 
แต่ลำตัวมีสีน้ำตาลแดงหรือสีของน้ำครั่ง กว่างชนิดนี้ใช้ชนได้เหมือนกัน 
แต่โดยทั่วไปแล้วคนมักจะกล่าวกันว่ากว่างหางจะไม่เก่งเท่ากว่างโซ้ง
การเลี้ยงกว่าง
เมื่อได้กว่างโซ้งที่ถูกใจมาแล้ว 
นักนิยมกว่างจะเลี้ยงดูกว่างอย่างดี โดยหาอ้อยที่หวานจัดมาปอกเปลือกให้ 
ส่วนที่ตัวกว่างก็ใช้ด้ายสีแดงมาฟั่นยาวประมาณหนึ่งคืบมาผูกที่ปลายเขาด้าน
บนเพื่อกันกว่างบินหนี ที่โคนลำอ้อยมีตะขอกันไม่ให้จิ้งจกเลียตีนกว่าง 
เพราะถ้าจิ้งจกเลียตีนกว่างแล้ว กว่างจะเกาะคอนได้ไม่มั่นคง 
นอกจากนี้ก็จะต้องหมั่นฝึกซ้อม การฝึกนี้จะใช้ไม้สี่เหลี่ยมเล็กๆ 
ปลายแหลมเรียกกันว่า “ไม้ผั่นกว่าง” เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญ 
ตื่นนอนตอนเช้าก็จะนำกว่างไปออกกำลังคือให้บินโดยใช้เชือกผูกจากเขากว่าง 
กว่างก็จะบินวนไปวนมา เมื่อเห็นว่าออกกำลังพอสมควรแล้ว จะนำกว่างไป 
“ชายน้ำเหมย” คือนำกว่างไปราดใบข้าวที่เปียกน้ำค้างในตอนเช้า 
หรือบ้างก็เคี้ยวอ้อยแล้วพ่นน้ำหวานใส่กว่าง 
ทำอย่างนี้ทุกวันกว่างจะแข็งแรง
ส่วนอุปกรณ์ของการชนกว่างนั้นก็ไม่มีอะไรมาก เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านที่น่าทึ่งมาก เพราะมีอยู่หลายแบบใครมีแบบไหนบ้างมาลองดู
1.ไม้คอน คือ 
ท่อนไม้กลมน้ำหนักเบาเป็นที่สำหรับให้กว่างชนกัน ทำด้วยต้นปอ ยาวประมาณ 
80-100 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 เซนติเมตร 
ตรงกลางเจาะรูสำหรับใส่กว่างตัวเมียจากด้านล่างให้โผล่เฉพาะส่วนหลังพอให้มี
 “กลิ่น” ส่วนด้านล่างใช้เศษผ้าอุด 
แล้วปิดด้วยฝาไม้ที่ทำเป็นสลักเลื่อนเข้าอีกที 
เพื่อกันไม่ให้กว่างตัวเมียถอยตัวออก 
คอนชนิดนี้มีไว้สำหรับฝึกซ้อมให้กว่างชำนาญในการชน
2.ไม้ผั่น : ไม้ผั่นกว่าง 
ไม้แหล็ดหรือไม้ริ้ว 
ไม้ผั่นนี้จะทำด้วยไม้เนื้อแข็งได้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณครึ่ง
เซนติเมตร ยาวประมาณ 8 เซนติเมตร ลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมปลายหัวหรือปลายแหลม 
ส่วนโคนเหลาให้เล็กเป็นที่สำหรับจับถือตรงใกล้ที่จับนั้นจะบากลงและเหลาให้
กลมแล้วเอาโลหะมาคล้องไว้อย่างหลวมๆ เวลา “ผั่น” 
หรือปั่นให้ผั่นให้หมุนกับคอนนั้น จะมีเสียง “กลิ้งๆ” 
ตลอดเวลาไม้ผั่นนี้ใช้ผั่นหน้ากว่างให้วิ่งไปข้างหน้าเขี่ยข้างกว่างให้กลับ
หลังเขี่ยแก้มกว่างให้หันซ้ายหันขวา 
ถ้ากว่างไม่ยอมสู้ก็จะใช้เจียดแก้มกว่างให้ร้อนจะได้สู้ต่อไป 
ในขณะที่ต้องการให้กว่างคึกคะนองหรือเร่งเร้าให้กว่างต่อสู้กันนั้นก็จะใช้
ไม้ผั่นนี้ 
การผั่นใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วกลางหมุนไปมากับคอนให้เกิดเสียงดัง
ลักษณะกว่างที่นำมาชนนั้นต้องมีลักษณะที่
ดี แข็งแรง เช่นกว่างโซ่ง ลักษณะกว่างโซ่งที่ดีนั้นต้องมีหน้ากว้าง 
กางเขาออกได้เต็มที่เขาล่างจะยาวกว่าเขาบนนิดหน่อย ท้ายทอยลาดลงเป็นสง่า 
แต่ถ้าท้ายทอยตรงโคนเขาบนเป็นปมไม่เรียบ ถือว่าเป็นกว่างไม่ดี 
กว่างที่ดีต้องเป็นกว่างที่ฉลาดสอนง่าย ก่อนที่จะนำกว่างมาชนกันนั้น 
จะต้องนำกว่างมาเทียบขนาดและสัดส่วนที่เรียกว่า เปรียบคู่ กันเสียก่อน 
เมื่อตกลงจะให้กว่างลงสนามเพื่อมาประลองต่อสู่กัน
นอกจากประเพณีชนกว่างที่สร้างความสามัคคี
ในชุมชนที่มาพบปะพูดคุยกัน 
ประเพณีชนกว่างของชาวล้านนานี้จะได้อยู่สืบทอดกันไป 
และกว่างยังเป็นแมลงเศรษฐกิจที่สร้างรายได้แก่ผู้เป็นเจ้าของ 
เพราะในฤดูเล่นกว่าง ไม่ว่าจะเป็นเด็กๆ หรือผู้ใหญ่ 
ต่างก็หวังที่จะครอบครองกว่างจึงทำให้กว่างมีราคาสูงตาม 
ความพอใจของผู้ซื้อขาย ในจังหวัดของทางภาคเหนือ 
และหาซื้อกว่างได้ง่ายตามตลาดทั่วไปหรือตามท้องถนนในราคาตัวละ 20-1,000 บาท
วิทยา ยะเปียง/ลำปาง
 
 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น