วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

เป็นเรื่องที่น่าศึกษาและเรียนรู้เพื่อพัฒนา

สิ่งที่คนตระกูลลี ไม่เคยบอกคนลอดช่อง และชาวโลก
ลี กวน ยิว ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรก ยาวนานถึง 31 ปี
ก่อนจะส่งไม้ต่อให้กับ โก๊ะ จ๊ก ตง ที่ครองตำแหน่งนาน 14 ปี
แล้วจึงมาถึงคิวของ ลี เซียน ลุง ผู้เป็นลูกชาย ลี เซียน ลุง หรือ LSL
ที่นั่งเก้าอี้ นรม. มาแล้ว 10 ปี ถือเป็นการเรื่องผูกขาด การเมืองภายในครอบครัว

ธุรกิจ รัฐวิสาหกิจ ใหญ่ๆ เป็นของตระกูลลีหมด แบ่งเป็น ลูกสาว สะไภ้ คุมคนละสาย ลูกชาย LSL ที่นั่งเป็นนายกฯ คือทายาทการเมือง นางโฮชิง ภริยาของ LSL เคยเป็นถึงประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือเทมาเส็ก นายลี เซียน ยัง ลูกชายคนเล็ก เป็นประธานและCEO ของ สิงเทล บริษัทสื่อสารยักษ์ใหญ่ในภูมิภาค อาเซียน และเป็นองค์กรเอกชนที่ใหญ่สุด ในสิงคโปร์ โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือบริษัท เทมาเส็ก ลูกสาวคนเล็ก ลี เวย ลิง เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถาบันแห่ง ชาติประสาทวิทยา (National Neuroscience Institute) ในสิงคโปร์ คนตระกูลลี คุมอำนาจค้าปลีกคลัง กลั่นน้ำมัน เดินเรือ การบิน พยายามแย่งศูนย์กลางการเงินและไอที

ตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำประเทศได้ถูก กลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน วิพากษ์วิจารณ์ ถึงระบบการปกครองสิงคโปร์ ที่เป็นแบบเผด็จการกำปั้นเหล็ก คู่แข่งทางการเมืองและนักการเมืองฝ่ายค้าน จำนวนมาก ถูกจำคุกหรือกลายเป็นบุคคลล้มละลาย เพราะถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย ในคดีหมิ่นประมาท จนปัจจุบัน มี สส. ฝ่ายค้านหลงเหลืออยู่ในสภาเพียง 6 คน เขตไหนไม่เลือกพรรครัฐบาล ไม่ได้รับการใส่ใจพัฒนา

ในช่วงเวลาที่ "ต้นตระกูลลี" อยู่ในจุดสูงสุดของอำนาจ ผู้ไม่เห็นด้วยจำนวนมาก ต้องล้มละลายหรือต้องหนีออกนอกประเทศ หลังจากถูกสั่งให้ต้องจ่ายค่าเสียหาย ฐานหมิ่นประมาทเป็นจำนวนเงินมหาศาล กลุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกหัวรุนแรง จะถูกควบคุมตัวโดยไม่ต้องตั้งข้อหา ภายใต้กฎหมายความมั่นคงภายใน

นโยบายที่ถูกวิจารณ์หนัก ที่เรียกว่า "รัฐพี่เลี้ยง" ภายใต้นโยบายที่สนับสนุนพลเมือง ที่มีการศึกษาสูงให้มีบุตร เพื่อสร้างเยาวชนที่มีคุณภาพรุ่นต่อไป นโยบายห้ามขายหมากฝรั่ง รวมถึงการกำหนดโทษหนักกรณีถ่มน้ำลายบนถนน หรือไม่กดชักโครกห้องน้ำสาธารณะ

ลี กวน ยู สร้างระบบที่ทุกคนต้องทำงานหนัก และมุ่งส่งเสริมสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม ระบบเศรษฐกิจของสิงคโปร์ ทวีความอำมหิต จากตัวเลขของทางการสิงคโปร์เองยอมรับว่า คนรวยในสิงคโปร์รวยขึ้น ขณะที่คนจนจนลง คนรุ่นใหม่ที่เกิดจากครอบครัวชนชั้นกลาง ในสิงคโปร์เริ่มถามหาความรับผิดชอบจากรัฐบาล

หลักการของลี กวน ยู ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอาวุโส นับตั้งแต่ลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เชื่อว่า "ไม่มีของฟรีบนโลกใบนี้ ไม่มีอาหารฟรี ไม่มีของแจก และไม่มีการอุดหนุน"

รัฐบาลสิงคโปร์อนุญาต ให้นำเข้าแรงงานต่างชาติราคาถูก เพื่อทดแทนการขาดแคลนแรงงานในประเทศ ตระกูลลี ไม่เชื่อในเรื่องการ กระจายรายได้ แต่เชื่อในเรื่องการเติบโต ทางเศรษฐกิจว่า จะแก้ปัญหาความยากจน ฉะนั้นสิงคโปร์จึงใช้ประโยชน์ จากแรงงานต่างชาติราคาถูก ซึ่งไม่จำเป็นต้องให้สวัสดิการมากมาย เพื่อคงความได้เปรียบ ทางการแข่งขัน

เมื่อตกงาน คนสิงคโปร์บางส่วน ต้องยอมลดค่าแรงตัวเอง เพื่อแข่งขันกับแรงงานต่างชาติ ขณะที่รัฐบาลเกรงปัญหาสมองไหล จึงพยายามขึ้นเงินเดือน ให้ผู้บริหารระดับสูง ฉะนั้นช่องว่างรายได้จึงถ่างสูงขึ้นทุกขณะ แม้ในที่สุด รัฐบาลสิงคโปร์ตั้งโครงการช่วยเหลือคนจน 'เอื้ออาทร' ผ่านองค์กรสาธารณกุศลเท่านั้น

สิงคโปร์เป็นสังคมที่วัตถุนิยม เป็นใหญ่แบบสุดๆ นับตั้งแต่คนต้นตระกูลลี ปกครองประเทศตั้งแต่ปี 2492 ระบบที่เชิดชูชนชั้นสูง ถูกพัฒนาเป็นลำดับ ชนชั้นสูงเหล่านี้ จะขึ้นมาควบคุมทุกอย่าง โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิดโอกาส ให้ตรวจสอบ งระบบนี้พัฒนาคนโดยผ่าน ทางการให้ทุนศึกษา ต่อในต่างประเทศ เพื่อกลับมาทำงาน ในหน่วยงานของรัฐ ชนชั้นนำของสังคมเหล่านี้จะวนเวียน อยู่แต่ในกลุ่มของพวกพ้องตัวเอง ทำหน้าที่ปกครองประเทศ โดยไม่ต้องสนใจใคร เนื่องจากไม่มีใครสามารถตรวจสอบได้ โดยเฉพาะการจัดทำ และใช้จ่ายงบประมาณของประเทศ

ความสามารถในการใช้จ่าย ถูกจัดเป็นตัวชี้ความสำเร็จ ยิ่งมีวัตถุมากเท่าไร ก็จะมีอำนาจมากเท่านั้น นี่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ค่านิยมที่ผลักดัน โดยนโยบายของรัฐบาล ส่งผลในเชิงสังคมด้วย ถ้าไม่มีทรัพย์สิน หรือไลฟ์สไตล์ที่ดีพอ จะไม่มีคนสนใจแต่งงานด้วย คู่แต่งงานก็ไม่อยากจะมีลูก เพราะค่าใช้จ่ายมันแพงเกินไป คนรุ่นใหม่จะไม่อยู่กับพ่อแม่ จะแยกอยู่ต่างหาก เพราะค่านิยมความเป็นส่วนตัว

ความสัมพันธ์ระหว่าง นายจ้างและลูกจ้างนั้น ถ้าเงินเดือนไม่ขึ้น คุณก็พร้อมจะไปทำงานที่ใหม่ทันที หรือทันทีที่มีคนเสนอข้อเสนอ ที่ดีกว่า นายจ้างก็จะจ้างเฉพาะคนที่มีประสิทธิภาพ เต็มที่เท่านั้น ไม่ได้ใส่ใจว่าแต่ละคนต้อง มีภาระครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ

คนรุ่นใหม่ในสิงคโปร์จะมีลักษณะเด่นคือ เป็นคนพันธุ์ที่สนใจแต่เรื่องของ ตัวเอง (Self-centeredness) งานอาสาสมัคร การบริการสังคมไม่อยู่ในหัว และที่สำคัญ คนรุ่นใหม่จะมีความเห็นอกเห็นใจ เพื่อนมนุษย์น้อยลง ต้องทำตัวเองให้ไปอยู่จุดสูงสุด ดูถูกและรังเกียจคนที่ผิดพลาด ล้มเหลว

ชนชั้นกลาง กำลังเป็น 'คนจนรุ่นใหม่' มีสาเหตุหลักจากการเปลี่ยนโครง สร้างของสังคม เช่น การสร้างเศรษฐกิจ ที่ใช้ความรู้เป็นหลัก Knowledge-based Economy คนที่ไร้ทักษะ หรือแรงงานมีฝีมือปานกลาง โดยเฉพาะพวกที่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไป จะถูกให้ออกจากงาน ถ้าไม่ไปอัพเกรดตัวเอง หรือเป็นคนพันธุ์ไอที ทั้งที่คนเหล่านี้เป็นผู้ที่แบกรับภาระครอบครัว ทั้งคนแก่และเด็ก คนที่จบใหม่ยากที่จะหางานประจำ หรือต้องได้รับเงินเดือนที่ต่ำ หลายครอบครัวไม่มีปัญญาผ่อนส่งบ้าน หรือแม้กระทั่งจ่ายค่าน้ำค่าไฟ รัฐบาลมองว่าคนกลุ่มนี้ ไม่ขยัน ไร้ความสามารถและโง่

คนที่ไม่อยากจะตกเป็นคนจนรุ่นใหม่ ต้องออกนอกประเทศ. แต่ละปี มีคนสิงคโปร์มากกว่า 2,000 คน สมัครขอรับสิทธิอาศัยถาวร ในออสเตรเลีย และ สหรัฐอเมริกา แม้นแต่แต่งงานกับคนไทย

รัฐบาลสิงคโปร์ เหมือนรัฐบาลเกือบทั่วโลกที่ยังห่วงใย…คนร่ำรวย ธุรกิจขนาดใหญ่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล

คนรุ่นก่อนคือบทเรียนอันทรงคุณค่าสำหรับคนรุ่นใหม่

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558

Ellie Lobel was ready to die. Then she was attacked by bees. Christie Wilcox hears how venom can be a saviour. 
 
Ellie Lobel was 27 when she was bitten by a tick and contracted Lyme disease. And she was not yet 45 when she decided to give up fighting for survival.
"They were in my hair, in my head, all I heard was this crazy buzzing — The bees, though, would rid her of disease"
Caused by corkscrew-shaped bacteria called Borrelia burgdorferi, which enter the body through the bite of a tick, Lyme disease is diagnosed in around 300,000 people every year in the United States. It kills almost none of these people, and is by and large curable – if caught in time. Antibiotics can wipe out the bacteria quickly before they spread through the heart, joints and nervous system.
But back in the spring of 1996, Ellie didn’t know to look for the characteristic bull’s-eye rash when she was bitten – she thought it was just a weird spider bite. Then came three months with flu-like symptoms and horrible pains that moved around the body. Ellie was a fit, active woman with three kids, but her body did not know how to handle this new invader. She was incapacitated. “It was all I could do to get my head up off the pillow,” Ellie remembers.
Her first doctor told her it was just a virus, and it would run its course. So did the next. As time wore on, Ellie went to doctor after doctor, each giving her a different diagnosis. Multiple sclerosis. Lupus. Rheumatoid arthritis. Fibromyalgia. None of them realised she was infected with Borrelia until more than a year after she contracted the disease – and by then, it was far too late.
“I just kept doing this treatment and that treatment,” says Ellie. Her condition was constantly worsening. She describes being stuck in bed or a wheelchair, not being able to think clearly, feeling like she’d lost her short-term memory and not feeling “smart” anymore. “I would get better for a little while, and then I would just relapse right back into this horrible Lyme nightmare. And with every relapse it got worse.”
(Credit: Thinkstock)
After 15 years, she gave up. “Nothing was working any more, and nobody had any answers for me,” she says. “I didn’t care if I was going to see my next birthday. It’s just enough. I was ready to call it a life and be done with it.”
So she packed up everything and moved to California to die. And she almost did.
Less than a week after moving, Ellie was attacked by a swarm of Africanised bees.
Swarm saviour
Ellie was in California for three days before her attack. “I wanted to get some fresh air and feel the sun on my face and hear the birds sing. I knew that I was going to die in the next three months or four months. Just laying there in bed all crumpled up… It was kind of depressing.”
At this point, Ellie was struggling to stand on her own. She had a caregiver on hand to help her shuffle along the rural roads by her place in Wildomar, the place where she had chosen to die.
She was just standing near a broken wall and a tree when the first bee appeared, she remembers, “just hitting me in the head”. “All of a sudden – boom! – bees everywhere.”
(Credit: SPL)
(Credit: SPL)
Her caregiver ran. But Ellie couldn’t run – she couldn’t even walk. “They were in my hair, in my head, all I heard was this crazy buzzing in my ears. I thought: wow, this is it. I’m just going to die right here.”
Ellie, like 1–7% of the world’s population, is severely allergic to bees. When she was two, a sting put her into anaphylaxis, a severe reaction of the body’s immune system that can include swelling, nausea and narrowing of the airways. She nearly died. She stopped breathing and had to be revived by defibrillation. Her mother drilled a fear of bees into her to ensure she never ended up in the same dire situation again.
Strong sting
Bees – and some other species in the order Hymenoptera, such as ants and wasps – are armed with a potent sting. This is their venom, and it’s a mixture of many compounds. Perhaps the most important is a tiny 26-amino-acid peptide called melittins, which is responsible for the feeling of burning.
When we experience high temperatures, our cells release inflammatory compounds that activate a special kind of channel, TRPV1, in sensory neurons. This ultimately causes the neurons to send a signal to the brain that we’re burning. Melittin subversively makes TRPV1 channels open by activating other enzymes that act just like those inflammatory compounds.
(SPL)
“I could feel the first five or 10 or 15 but after that... All you hear is this overwhelming buzzing, and you feel them hitting your head, hitting your face, hitting your neck,” says Ellie.
“I just went limp. I put my hands up and covered my face because I didn’t want them stinging me in the eyes… The next thing I know, the bees are gone.”
When the bees finally dissipated, her caregiver tried to take her to the hospital, but Ellie refused to go. “This is God’s way of putting me out of my misery even sooner,” she told him. “I’m just going to accept this.
“I locked myself in my room and told him to come collect the body tomorrow.”
But Ellie didn’t die. Not that day, and not three to four months later.
“I just can’t believe that was three years ago, and I just can’t believe where I am now,” she tells me. “I had all my blood work done. Everything. We tested everything. I’m so healthy.”
She believes the bees, and their venom, saved her life.
(Credit: Victoria Jenkins)

The idea that the same venom toxins that cause harm may also be used to heal is not new. Bee venom has been used as a treatment in East Asia for centuries. In Chinese traditional medicine, scorpion venom is recognised as a powerful medicine, used to treat everything from eczema to epilepsy. Mithradates VI of Pontus, a formidable enemy of Rome (and also an infamous toxinologist), was said to have been saved from a potentially fatal wound on the battlefield by using steppe viper venom to stop the bleeding.
“Over millions of years, these little chemical engineers have developed a diversity of molecules that target different parts of our nervous system,” says Ken Winkel, Director of the Australian Venom Research Unit at the University of Melbourne. “This idea of applying these potent nerve toxins to somehow interrupt a nervous disease has been there for a long time. But we haven’t known enough to safely and effectively do that.”
Despite the wealth of history, the practical application of venoms in modern therapeutics has been minimal. That is, until the past 10 years or so, according to Glenn King at the University of Queensland in Brisbane, Australia. In 1997, when Ellie was bouncing around from doctor to doctor, King was teasing apart the components of the venom from the Australian funnel-web, a deadly spider. He’s now at the forefront of venom drug discovery.
(Credit: Thinkstock)

King’s group was the first to put funnel-web venom through a separation method called high-performance liquid chromatography (HPLC), which can separate out different components. “I was just blown away,” he says. “This is an absolute pharmacological goldmine that nobody’s really looked at. Clearly hundreds and hundreds of different peptides.”
Over the course of the 20th Century, suggested venom treatments for a range of diseases have appeared in scientific and medical literature. Venoms have been shown to fight cancer, kill bacteria, and even serve as potent painkillers – though many have only gone as far as animal tests. At the time of writing, just six had been approved by the US Food and Drug Administration for medical use (one other – Baltrodibin, adapted from the venom of the Lancehead snake – is not FDA approved, but is available outside the US for treatment of bleeding during operations).
The more we learn about the venoms that cause such awful damage, the more we realise, medically speaking, how useful they can be. Like the melittin in bee venom.
Molecular moves
Melittin does not only cause pain. In the right doses, it punches holes in a cell’s protective membranes, causing cells to explode. At low doses, melittin associates with the membranes, activating lipid-cutting enzymes that mimic the inflammation caused by heat. But at higher concentrations, and under the right conditions, melittin molecules group together into rings creating large pores in membranes, weakening a cell’s protective barrier and causing the entire cell to swell and pop like a balloon.
(Credit: Victoria Jenkins)

Because of this, melittin is a potent antimicrobial, fighting off a variety of bacteria and fungi with ease. But its power doesn’t stop there. Scientists hope it could fight diseases ranging from HIV to cancer, arthritis and multiple sclerosis.
For example, researchers at the Washington University School of Medicine in St Louis, Missouri, have found that melittin can tear open HIV’s protective membrane without harming human cells. This envelope-busting method also stops the virus from having a chance to evolve resistance. “We are attacking an inherent physical property of HIV,” Joshua L Hood, the lead author of the study, said in a press statement. “Theoretically, there isn’t any way for the virus to adapt to that. The virus has to have a protective coat.” Initially envisioned as a prophylactic vaginal gel, the hope is that melittin-loaded nanoparticles could someday be injected into the bloodstream, clearing the infection.
Tall tale
But could bees really have cured Lyme disease? Ellie is the first to admit that her tale sounds a little tall. “If someone were to have come to me and say, ‘Hey, I’ll sting you with some bees, and you’ll get better’, I would have said, ‘Absolutely not! You’re crazy in your head!’” But she has no doubts now.
(Credit: SPL)

After the attack, Ellie watched the clock, waiting for anaphylaxis to set in, but it didn’t. Instead, three hours later, her body was racked with pains. A scientist by education before Lyme took its toll, Ellie thinks that these weren’t a part of an allergic response, but instead indicated a Jarisch–Herxheimer reaction – her body was being flooded with toxins from dying bacteria. The same kind of thing can happen when a person is cured from a bad case of syphilis. A theory is that certain bacterial species go down swinging, releasing nasty compounds that cause fever, rash and other symptoms.
For three days, she was in pain. Then, she wasn’t.
“I had been living in this… I call it a brown-out because it’s like you’re walking around in a half-coma all the time with the inflammation of your brain from the Lyme. My brain just came right out of that fog. I thought: I can actually think clearly for the first time in years.”
With a now-clear head, Ellie started wondering what had happened. So she did what anyone else would do: Google it. Disappointingly, her searches turned up very little. But she did find one small 1997 study by scientists at the Rocky Mountain Laboratories in Montana, who’d found that melittin killed Borrelia. Exposing cell cultures to purified melittin, they reported that the compound completely inhibited Borrelia growth. When they looked more closely, they saw that shortly after melittin was added, the bacteria were effectively paralysed, unable to move as their outer membranes were under attack. Soon after, those membranes began to fall apart, killing the bacteria.
(Credit: Victoria Jenkins)

Convinced by her experience and the limited research she found, Ellie decided to try apitherapy, the therapeutic use of materials derived from bees.
Her bees live in a “bee condo” in her apartment. She doesn’t raise them herself; instead, she mail orders, receiving a package once a week. To perform the apitherapy, she uses tweezers to grab a bee and press it gently where she wants to be stung. “Sometimes I have to tap them on the tush a little bit,” she says, “but they’re usually pretty willing to sting you.”
She started on a regimen of 10 stings a day, three days a week: Monday, Wednesday, Friday. Three years and several thousand stings later, Ellie seems to have recovered. Slowly, she has reduced the number of stings and their frequency – just three stings in the past eight months, she tells me (and one of those she tried in response to swelling from a broken bone, rather than Lyme-related symptoms). She keeps the bees around just in case, but for the past year before I talked to her, she’d mostly done just fine without them.
Complex cocktails
Rare cases like Ellie’s are a reminder of the potent potential of venoms. But turning folk knowledge into pharmaceuticals can be a long and arduous process. “It could take as long as 10 years from the time you find it and patent it,” says King. “And for every one that you get through, 10 fail.”
(Credit: Victoria Jenkins)

Since the 1997 study, no one had looked further into bee venom as a potential cure for Lyme disease, until Ellie.
Ellie has partnered with a bee farm that uses a special electrified glass plate to extract venom. As the bees walk across the plate on the way to and from their hive, harmless currents stimulate the bees to release venom from their abdomens, leaving teeny little droplets on the glass, which are later collected. Ellie says it takes 10,000 bees crossing that plate to get 1 gram of venom (other sources, such as the Food and Agriculture Organization of the UN, quote 1 million stings per gram of venom), but “those bees are not harmed”.
She sends some of the venom she purchases – which, due to the cost of the no-harm extraction method she uses, she says is “more expensive than gold” – to Eva Sapi, Associate Professor of Biology and Environmental Science at the University of New Haven, who studies Lyme disease.
Sapi’s research into the venom’s effects on Lyme bacteria is ongoing and as yet unpublished, though she told me the results from preliminary work done by one of her students look “very promising”. Borellia bacteria can shift between different forms in the body, which is part of what makes them so hard to kill. Sapi has found that other antibiotics don’t actually kill the bacteria but just push them into another form that is more dormant. As soon as you stop the antibiotics, the Borellia bounce back. Her lab is testing different bee venoms on all forms of the bacteria, and so far, the melittin venom seems effective.
(Credit: Mechatronics Guy/Flickr/CC BY 2.0)

The next step is to test whether melittin alone is responsible, or whether there are other important venom components. “We also want to see, using high-resolution images, what exactly happens when bee venom hits Borellia,” Sapi told me.
She stresses that much more data is needed before any clinical use can be considered. “Before jumping into the human studies, I would like to see some animal studies,” she says. “It's still a venom.” And they still don’t really know why the venom works for Ellie, not least because the exact cause of post-treatment Lyme disease symptoms remains unknown. “Is it effective for her because it’s killing Borellia, or is it effective because it stimulates the immune system?” asks Sapi. It’s still a mystery.
A close-up bee stinger (Credit: SPL)

The bigger picture, however, is that venomous animals could prove be excellent drug resources for devastating neurological diseases, as so many of their venoms target our nervous system. “We really don’t have great drugs in this area,” says Ken Winkel, “and we have these little factories that have a plethora of compounds…”
No one knows exactly how many venomous species there are on this planet. There are venomous jellyfish, venomous snails, venomous insects, even venomous primates. “When people ask me what’s the best way to convince people to preserve nature, your weakest argument is to talk about how beautiful and wonderful it is,” says Bryan Fry. Instead, he says, we need to emphasise the untapped potential that these species represent. “It’s a resource, it’s money. So conservation through commercialisation is really the only sane approach.”
Ellie couldn’t agree more. “We need to do a lot more research on these venoms,” she tells me emphatically, “and really take a look at what’s in nature that’s going to help us.”

This is an edited version of an article originally published by Mosaic, and is reproduced under a Creative Commons licence. For more about the issues around this story, visit Mosaic’s website here.

ตำนานรักและผูกพัน ของ ลี กวน ยู กับ อาจู

เปิดโลกวันอาทิตย์ : ตำนานรักและผูกพัน ของ ลี กวน ยู กับ อาจู : โดย...บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์ 

 ตำนานรักและผูกพัน ของ ลี กวน ยู กับ อาจู

 

 
                        แม้จะถูกสื่อตะวันตกตราหน้าว่าเป็นเผด็จการประชาธิปไตย แต่ลี กวน ยู รัฐบุรุษโลก กลับเป็นเผด็จการที่ชาวสิงคโปร์และโลกรักและเคารพยกย่อง กระทั่งสามารถอยู่ในวงการเมืองจวบจนนาทีสุดท้ายของชีวิต เทียบกับอดีตเผด็จการอย่างอดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอสแห่งแดนตากาล็อกฟิลิปปินส์ และอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โตแห่งแดนอิเหนาอินโดนีเซีย ผู้เป็นเผด็จการร่วมรุ่นร่วมยุคสมัย แต่กลับถูกประชาชนรวมพลังอัปเปหิด้วยข้อหาเดียวกันนั่นก็คือทุจริต คอร์รัปชั่นยักยอกเงินของแผ่นดินไปเป็นสมบัติส่วนตัวและใช้อำนาจหน้าที่ใน ทางมิชอบ กระทั่งติดอันดับ 10 ยอดผู้นำสุดโกงกินมากที่สุดในโลก 
 
                        ยิ่งไปกว่านั้น หลังบ้านของมาร์กอสและซูฮาร์โตต่างก็ขึ้นชื่อลือเลื่องเช่นกันในเรื่องการ รับเงินสินบน กระทั่งนางอิเมลดา มาร์กอส ได้รับฉายาว่า "มาดามผีเสื้อเหล็ก" และ"มาดาม 3 เปอร์เซ็นต์ " ส่วนนางสตี ฮาร์ตินาห์ หรือ "มาดามเทียน" คู่ชีวิตของซูฮาร์โต ก็ได้รับสมญาว่า "มาดาม 10 เปอร์เซ็นต์" จากการหัก 10 เปอร์เซ็นต์เป็นค่าวิ่งเต้นให้บริวารว่านเครือของซูฮาร์โต
 
                        แต่เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับครอบครัวของลี กวนยูและนางกัว เก็ก จู หรือ "อาจู" ภรรยาคู่ชีวิต ซึ่งไม่เคยมีข้อครหาแม้แต่น้อยว่าทุจริตคอร์รัปชั่นหรือรับสินบนใดๆ ยิ่งกว่านั้นมาดามลี ซึ่งไม่ได้เป็นโฉมสะคราญแบบนางอิเมลดา มาร์กอส ที่เคยสวมมงกุฎรองนางงามฟิลิปปินส์มาก่อน หากแต่มากปัญญาแบบนางอุยซี ภรรยาของขงเบ้ง ก็ยินดีทำตัวเป็นช้างเท้าหลัง ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหลายทั้งปวงของลี กวน ยู  อย่างเงียบๆ คอยให้กำลังใจจนสามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง
 
                        ลีถึงกับออกปากยกย่องว่าเธอเป็นยิ่งกว่าภรรยา เพราะยังเป็นเพื่อนแท้และที่ปรึกษาผู้รู้ใจที่ตัวเองไว้วางใจมากที่สุด  
 
                        สมกับเป็นคู่สร้างคู่สมกันมาแต่ปางบรรพ์ ในฐานะที่ต่างเป็นรักแรกและรักเดียวในกันและกัน และเป็นเงาของกันและกันเรื่อยมา แม้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมานานถึง 63 ปี เหตุนี้ จึงไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อย เมื่อ "อาจู" เสียชีวิตอย่างสงบเมื่อเย็นวันที่ 2  ตุลาคม 2553  ลี กวน ยู จึงสารภาพว่านับตั้งแต่ไม่มีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากอยู่เคียงข้าง ชีวิตของตัวเองก็เปลี่ยนไป ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว  
 
                        และนับแต่นั้น รัฐบุรุษโลกลี ก็หมดกำลังใจที่จะอยู่ต่อไปตามลำพัง นอนป่วยกระเสาะกระแสะอยู่แต่บนเตียงและต้องใช้เครื่องช่วยชีวิตเรื่อยมาจน กระทั่งถึงแก่อสัญกรรม
 
                        แม้ภายนอกจะเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง เด็ดขาด กระทั่งสามารถนำเกาะสิงคโปร์ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติแม้แต่น้อยให้กลายเป็น เกาะมหัศจรรย์และเป็นศูนย์กลางธุรกิจใหญ่แห่งเอเชีย  แต่ในเรื่องของความรักแล้ว ลี กวน ยู กลับเป็นคนรักและสามีที่สุดแสนอ่อนโยน รักเดียวใจเดียว และให้ความสำคัญกับ "อาจู" เสมอมา ในฐานะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่สามารถเอาชนะเขาได้ในเรื่องการเรียน
 
                        ตั้งแต่เด็ก กัว เก็ก จู ได้ชื่อว่าเป็นคนเรียนเก่งมากๆ สอบได้ที่ 1 ระหว่างการสอบชั้น ม.6 เคมบริดจ์ทั่วมาลายา และขณะมีอายุ 16 ปี ก็เป็นนักเรียนหญิงเพียงคนเดียวที่เข้าไปเรียนพิเศษที่วิทยาลัยราฟเฟิลส์ ซึ่งเป็นโรงเรียนชายชื่อดังเพื่อเตรียมตัวสอบชิงทุนควีนส์ สกอลาร์ชิป แล้วได้พบกับลีเป็นครั้งแรก 
 
                        ความรักที่แม้แต่สวรรค์ยังอิจฉาของทั้ง 2 คนปรากฏอยู่ในหนังสือบันทึกอัตชีวประวัติของลี กวน ยู ที่เผยแพร่เมื่อปี 2542 ซึ่งเล่าหมดเปลือกว่าได้พบกันครั้งแรกปี 2487 ตอนที่เธอเป็นนักเรียนหญิงเพียงคนเดียวของวิทยาลัยชื่อดังที่เป็นแหล่งรวม ของสุดยอดนักเรียน 150 คน แต่ในครั้งนั้น นอกจากจะไม่ใช่รักแรกพบแล้ว 
 
                        ทั้ง 2 คนยังเหมือนกับคู่กัดที่ต้องแข่งกันเพื่อชิงความเป็นที่ 1 ในการสอบวิชาต่างๆ ปรากฏว่าสาวน้อยกัว เก็ก จู ซึ่งมีอายุมากกว่าหนุ่มน้อยลี กวน ยู 2 ปีสามารถเอาชนะได้ที่ 1 ในวิชาภาษาอังกฤษและเศรษฐศาสตร์ ส่วนหนุ่มน้อยลีได้ที่ 2 หลังจากเลิกคิ้วและตีสีหน้าใส่กัน มิตรภาพกลับทวีความแนบแน่นมากขึ้น ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีความหวาดระแวง ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง สุดท้ายก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความรักในอีก 2 ปีให้หลัง
 
                        หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง พ่อของลี กวน ยูกัดฟันส่งแฮรี ลี และเดนนิส น้องชายไปเรียนต่อด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในหนังสืออัตชีวประวัติ ลีสารภาพว่า "เรายังเด็กและกำลังมีความรัก จึงได้แต่กังวลห่วงใยและเฝ้าหวังว่ากัว เก็กจูจะสามารถสอบชิงทุนควีนส์ สกอลาร์ชิป ได้เพื่อจะได้มาเรียนต่อที่เคมบริดจ์ด้วยกัน....ผมถามเธอว่าจะคอยผมกลับมาใน อีก 3 ปีให้หลังหรือไม่ อาจูถามผมว่ารู้หรือเปล่าว่าเธอแก่กว่าผม 2 ปีครึ่ง ผมตอบว่ารู้และได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบแล้ว ผมเองก็เป็นเด็กโตเกินวัย เพื่อนๆ ล้วนแต่มีอายุมากกว่า ยิ่งกว่านั้น ผมก็ต้องการใครสักคนที่เท่าเทียมกัน ไม่ใช่ใครที่ไม่รู้จักโตและต้องการให้คนคอยปกป้องดูแลตลอดไป ผมเองก็ไม่ต้องการมองหาหญิงอื่นที่ทัดเทียมกันและสนใจอะไรๆ เหมือนกัน เธอตอบว่าเธอจะรอผม" แม้ว่าพ่อแม่ของเธอจะไม่ยินดีพิจารณาแฮรี ลีให้เป็นว่าที่ลูกเขยก็ตาม
 
                        หลังสงคราม อาจูได้กลับมาเรียนต่อที่ราฟเฟิลส์และสอบได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง รวมทั้งสอบชิงทุนควีนส์ สกอลาร์ชิปด้วย ซึ่งทุนนี้จะให้เด็กเรียนดีชาวสิงคโปร์ปีละทุนเท่านั้น นั่นหมายความว่าถ้าเธอสอบชิงทุนนี้ไม่ได้ เธอก็ต้องเฝ้ารอคอยลีถึง 3 ปี ซึ่งต่างก็ไม่ปรารถนาเช่นนั้น สาวหัวดีและเรียนเก่งอย่างอาจูจึงฮึดสู้และก็ไม่ทำให้ผิดหวัง 
 
                        เธอสอบชิงทุนควีนส์ สกอลาร์ชิปได้ดังหวัง แต่ก็เผชิญกับอุปสรรคไม่คาดฝัน เนื่องจากทางการไม่สามารถหาที่ว่างในมหาวิทยาลัยให้ได้ จึงแจ้งให้เธอรออีกหนึ่งปี แต่หนุ่มน้อยแฮรี ลี กลับไม่สามารถทำใจรอได้ จึงได้วิ่งเต้นผ่านคณบดี กระทั่งยอมรับให้เธอมาเรียนที่เคมบริดจ์ได้ในเทอมถัดมา 
 
                        สองหนุ่มสาวจึงได้มาพบหน้ากันใหม่ในกรุงลอนดอน  หลังจากนั้นไม่นาน ลี ก็ขอแต่งงานเงียบๆ อาจูตอบตกลงโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าขัดต่อประเพณีก็ตาม ทั้ง 2 จึงได้แอบแต่งงานกันที่เมืองสแตรทฟอร์ด ริมแม่น้ำเอวอน อันเป็นเมืองบ้านเกิดของเชคสเปียร์เมื่อปี 2490 
 
                        หนุ่มน้อยลีได้ซื้อแหวนทองคำขาวให้ ซึ่งอาจูได้ร้อยกับสายสร้อยสวมคล้องคอไว้ตลอดมา สองหนุ่มสาวได้ปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้ใครรู้แม้กระทั่งพ่อแม่ของทั้ง 2 ฝ่ายซึ่งตราบจนเสียชีวิตก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้ เพราะกลัวว่าทางบ้านและเจ้าของทุนจะไม่ยอมรับและอาจยึดทุนคืน และโลกเพิ่งรู้ความลับนี้จากหนังสืออัตชีวประวัติของลี กวน ยู ซึ่งเล่าว่าเมื่อเดินทางกลับสิงคโปร์ ทั้ง 2 คนได้ทำพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2493 "ผมไม่คิดว่าเป็นข้อแก้ตัวแต่อย่างใด ที่ต้องแต่งงาน 2 ครั้งกับผู้หญิงคนเดียวกัน"
 
                        หลังจากแต่งงานแล้ว อาจูทำหน้าที่เป็นแม่บ้านและทำงานเป็นทนายความในสำนักทนายความลี แอนด์ ลี ที่ลีและเดนนิส น้องชาย ร่วมกันตั้งขึ้นมา ก่อนที่ลีจะวางมือจากสำนักทนายความแห่งนี้เพื่อไปเล่นการเมือง ปล่อยให้อาจูและเดนนิสช่วยกันบริหาร กระทั่งกลายเป็นสำนักทนายความที่ใหญ่ที่สุด 
 
                        และแม้จะมีทายาทคนแรกด้วยกันนั่นคือลี เซียน หลงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2495  เธอก็ช่วยงานของลีโดยเป็นคนตรวจร่างถ้อยแถลงต่างๆ ด้วยภาษาที่ง่าย แจ่มแจ้งและตรงประเด็น ทำให้ลี ประสบความสำเร็จในงานทนายความ อาจูยังช่วยสอนเคล็ดลับการเขียนภาษาอังกฤษให้กระชับและใช้ประโยคที่มีประธาน เป็นทำกริยานั้นโดยตรง ที่สำคัญคือเป็นคนช่วยร่างธรรมนูญของพรรคกิจประชาชน (พีเอพี) ที่ลี กวน ยูตั้งมากับมือ และยังเป็นคนช่วยแก้สำนวนภาษาให้ถูกต้อง 
 
                        ในหนังสืออัตชีวประวัติ ลี กวน ยู ได้ยกย่องเธอ 2 เรื่อง เรื่องแรกก็คือการมีวิสัยทัศน์ยาวไกล มองออกล่วงหน้าว่าการผนึกรวมสิงคโปร์เป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐมลายู ท้ายที่สุดก็จะล้มเหลว เนื่องจากความแตกต่างของวิถีชีวิตและทัศนะการเมืองของผู้นำพรรคอัมโน พรรครัฐบาลมาเลเซีย ปรากฏว่าเธอทายถูกเพราะท้ายที่สุดมาเลเซียก็อัปเปหิสิงคโปร์เมื่อปี 2508 ทำให้ลี กวน ยู ฮึดสู้ตั้งเป็นประเทศและตัวเองก็เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกนานติดต่อกันถึง 31 ปี 
 
                        ในช่วงผ่องถ่ายอำนาจนั้น "อาจู" ยังมีส่วนช่วยเหลือลีในการร่างกฎหมายแยกประเทศให้ครอบคลุมเรื่องที่มาเลเซีย จะต้องรับประกันว่า จะต้องจ่ายน้ำประปาให้สิงคโปร์ตลอดไป และลีได้ใช้สัญญาข้อนี้มาอ้างทุกครั้งที่ผู้นำมาเลเซียขู่จะตัดน้ำประปา
 
                        ช่วงที่เกิดวิกฤติครั้งใหญ่ อาจูคอยเป็นกำลังใจและมีส่วนช่วยสถาปนาประเทศสิงคโปร์มากับมือ "ตอนที่เกิดวิกฤติไม่ว่าจะครั้งไหนๆ เราจะไม่ยอมปล่อยให้อีกคนหนึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว อ้างว้างตามลำพัง ตรงกันข้าม เราจะเผชิญกับวิกฤติด้วยกัน ร่วมทุกข์ ร่วมสุข แบ่งปันความรู้สึกกลัวและความหวังด้วยกัน ในช่วงนั้นๆ เรายิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้น ยิ่งเวลาผ่านไป ความผูกพันของเราก็ยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้นตามลำดับ"
 
                        มาดามลีก็มักจะเล่าตำนานชีวิตให้คนรุ่นหลังฟัง พร้อมกับสารภาพว่า แม้เธอจะเป็นนักบุกเบิกการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีรุ่นแรก แต่เธอก็ยินดีทำหน้าที่ภรรยาที่ดี เดินทางไปกับเขาเหมือนเป็นเงาตามตัวโดยเฉพาะการเดินทางไปกระชับสัมพันธไมตรี ทางการทูตและการพบปะกับรัฐมนตรีจากต่างประเทศ "ฉันจะเดินตามหลังสามี 2 ก้าวเสมอ"
 
                        แต่สิ่งที่เธออุทิศให้ตลอดก็คือการดูแลครอบครัว ทุกเที่ยงเธอจะกลับบ้านทำอาหารกลางวันให้ลูกทั้ง 3 คน ยามว่างก็คอยจัดทำประวัติและเก็บแฟ้มรูปของลูกๆ ทุกคนจนกระทั่งโต ยามว่างก็จะชอบทำสวน เลี้ยงนก พาลูกๆ และหลานๆ ไปเดินเล่น
 
                        อาจู เป็นนักกฎหมายอาชีพนานกว่า 40 ปี กระทั่งเริ่มป่วยด้วยโรคหัวใจเมื่อปี 2546 ลี กวน ยู ซึ่งแม้จะเติบโตในสังคมชายเป็นใหญ่ที่ผู้ชายไม่ต้องทำอะไรเองแม้กระทั่งตอก ไข่ ก็สลัดความเป็นใหญ่ทิ้งทันที และปรับวิถีชีวิตของตัวเองใหม่เพื่อจะได้ดูแลภรรยาคู่ยากอย่างใกล้ชิด 
 
                        เมื่อตาข้างซ้ายของเธอเริ่มมืดมัว ลีก็จะนั่งตรงข้างซ้ายของเธอระหว่างอาหาร คอยให้กำลังใจเธอให้ค่อยๆ กินอาหาร และเมื่อเธอทำอาหารหก เขาก็จะค่อยๆ เก็บเศษอาหารทิ้ง นอกจากนี้ก็คอยกระตุ้นให้อาจูว่ายน้ำทุกวันและจะเป็นคนวัดความดันให้วันละ หลายครั้ง แม้ว่าลี เหว่ย หลิง ลูกสาวคนกลางซึ่งเป็นหมอจะขอให้แพทย์คนหนึ่งติดอุปกรณ์วัดความดันสวมที่ข้อ มือเหมือนนาฬิกาก็ตาม แต่อาจูเคยให้สัมภาษณ์ว่า "ฉันอยากให้สามีของฉันเป็นวัดความดันให้มากกว่า" 
 
                        โรคหัวใจที่กำเริบเป็นครั้งที่ 2 เมื่อปี 2551 ทำให้อาจูต้องนอนแบ่บอยู่บนเตียง พูดไม่ได้ แต่ยังมีความรู้สึกและรับรู้คำพูดของคนอื่นๆ ทุกวันหลังเลิกงาน ลีก็จะมานั่งข้างเตียงเล่าให้เธอฟังว่าทำอะไรบ้าง และทุกคืนก็จะอ่านบทกวีที่อาจูชื่นชอบให้ฟังนาน 2 ชั่วโมงโดยไม่มีขาดแม้แต่คืนเดียว และเนื่องจากหนังสือรวมบทกวีนั้นแสนจะหนาและหนัก ลีจึงต้องวางหนังสือบนขาตั้งดนตรี ปรากฏว่าคืนหนึ่งเขาเผลองีบหลับ กระทั่งหน้ากระแทกขาตั้งเป็นรอยช้ำ แต่ก็ไม่ทำให้ลีถอดใจแต่อย่างใด ยังคงอ่านบทกวีให้ภรรยาคู่ยากฟังทุกคืน และแม้จะประกาศว่าเลิกนับถือทุกศาสนาแล้วก็ตาม  แต่ลี กวน ยู กลับสวดมนต์ภาวนาให้อาจูมีอาการดีขึ้น ว่ากันว่าลี เครียดกับอาการป่วยของเธอยิ่งกว่าคราวที่ประสบมรสุมทางการเมืองเสียอีก
 
                        หลังจากนอนนิ่งบนเตียงนาน 2 ปี "อาจู" ก็จากไปอย่างสงบด้วยวัย 89 ปี ลีค่อยๆ เดินไปที่โลงศพเพื่อนำดอกกุหลาบแดงไปวางบนร่าง พลางใช้มือขวาลูบใบหน้าของเธอ ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากถึง 2 ครั้ง ร่ำลา "อาจู" เป็นครั้งสุดท้าย แสดงออกถึงความรักมั่นที่ไม่มีวันแปรเปลี่ยนจวบจนวันตาย

ย้อนรอย ประกาศิต 'สุเทพ' กร้าว! ไม่ให้เปิดสภาปิดเกมรัฐบาล'ยิ่งลักษณ์'

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 30 มี.ค. 2558 05:30


"อาตมาไม่ใช่นักการเมือง อาตมาบวชเป็นพระ เว้นวรรคจากการเมืองชั่วคราว จะมาเยี่ยมก็ได้ แต่มาพูดเรื่องธรรมะ ไม่พูดเรื่องการเมือง" นี่คือคำกล่าวพระสุเทพ ปภากโร พระลูกวัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม) ต.เสม็ด อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อตัดสินใจหันหน้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์...
เเต่กลับกันสมัยภายใต้ชื่อ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือ 'ลุงกำนัน' ซึ่งมีดีกรีทางการเมืองไม่เป็นสองรองใคร เป็นถึงอดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีต ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เเละอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็น ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมยืนหยัดดำรงตำแหน่งแกนนำสำคัญในการออกมาร่วมชุมนุมกัน อย่างล้นหลามของพลังมวลมหาประชาชน เพื่อเป้าหมายโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์เมื่อปี56 ต่อปี 57
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือ'ลุงกำนัน' ในฐานะเลขาธิการ กปปส.
ย้อนไปเมื่อปลายปี 2556 สถานการณ์ทางการเมืองไทยเริ่มอยู่ในสภาวะตึงเครียด ส.ส.พรรคเพื่อไทยนำโดยนายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม 'ฉบับเหมาเข่ง' เข้าสภาฯ ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านและการชุมนุมคัดค้านครั้งใหญ่ แม้ว่าภายหลังร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวจะเงียบหายไป แต่องศาความร้อนแรงของอุณหภูมิทางการเมืองกลับไม่ได้ลดหลั่นตามลงไปด้วย จากกระแสพลังมวลชนที่ถูกจุดติดทำให้มีการ 'ยกระดับ' ข้อเรียกร้องไปเรื่อยๆ จากถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ไปเป็นบังคับให้รัฐบาลลาออก จนเมื่อรัฐบาลประกาศยุบสภา ก็มีการผลักดันข้อเรียกร้องไปเป็น 'ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง' ซึ่ง คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่ สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เป็นผู้สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว และใช้มาตรการต่างๆ เพื่อขัดขวางไม่ให้เกิดการเลือกตั้ง รวมทั้งการนำกลยุทธ์ปิดล้อมหน่วยเลือกตั้งเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้มีสิทธิ์ เลือกตั้งเข้าไปใช้สิทธิ์
เวลาต่อมา การปิดกั้นการใช้สิทธิเเละเสรีภาพโดยมวลชนที่เชื่อมั่นในตัว "ลุงกำนัน" ภายใต้แนวทาง "ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง" ก็กลายเป็นก้าวแรกที่นำประเทศเข้าไปสู่หนทางที่มองไม่เห็นทางออก จนทำให้กองทัพที่นำโดย 'บิ๊กตู่' พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถ อ้าง ป็นสาเหตุในการทำรัฐประหาร ประกาศใช้กฎอัยการศึกเป็นครั้งที่ 8 ของไทยในรอบครบ 100 ปี
กปปส.ทะลักร่วมเคลื่อนขบวนใหญ่ "สุเทพประกาศิต ไม่ให้เปิดสภาฯ หากไม่ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" มวลมหาประชาชนสมทบตลอดทาง
โดยบรรยากาศชุมนุมใหญ่ของกลุ่ม กปปส. คึกคักตั้งช่วงเช้า 29 มี.ค.57 โดยมวลชนที่ปักหลักอยู่ในเวทีสวนลุมพินีลุกขึ้นมาเตรียมตัวออกเดินขบวนไปยัง ลานพระบรมรูปทรงม้า ตามที่นายสุเทพ นัดหมายไว้และมีมวลชนทยอยสมทบที่เวทีต่อเนื่อง ซึ่งหากจำกันได้ลุงกำนันประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯ มาแล้วหลายครั้งก่อนหน้า จากนั้นมีขบวนดุริยางค์นำนายสุเทพพร้อมกับนางศรีสกุล พร้อมพันธุ์ ภริยาและแกนนำ กปปส.ทุกคน เดินทางถึงลานพิธีบริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้า อยู่หัว รัชกาลที่ 6 เพื่อกราบสักการะเป็นสิริมงคล ก่อนเคลื่อนขบวน โดยมีการจัดริ้วขบวน 6 ขบวน ดังนี้ ขบวนแรกตั้งขบวน ข้างลานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 ขบวนที่ 2 ตั้งบริเวณประตู 3 ตรงข้ามตึกอื้อจือเหลียง ขบวนที่ 3 ตั้งบริเวณประตู 2 ถนนวิทยุ ขบวนที่ 4 ตั้งบริเวณประตู 1 ตรงข้าม สน.ลุมพินี ขบวนที่ 5 บริเวณประตู 8 ถนนสารสิน และขบวนสุดท้ายตั้งบริเวณประตู 7 ถนนสารสิน แต่ละขบวนชูป้ายปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
ขณะที่นายสุเทพเดินอยู่ช่วงขบวนที่ 3 และ 4 ท่ามกลางวงล้อมการ์ดดูแลความปลอดภัยเข้มงวด และในขบวนมีรถเสบียงคอยแจกน้ำและข้าวกล่องให้ผู้ชุมนุม รวมทั้งรถพยาบาลคอยดูเเลให้บริการแจกยาดม จนกระทั่งเวลา 09.30 น. ขบวนเริ่มเคลื่อนตามเส้นทางถนนราชดำริอย่างล่าช้า เนื่องจากมีประชาชนเข้าร่วมขบวนจำนวนมากทำให้ขบวนยาวเป็นกิโลเมตร ขณะที่ตามเส้นทางมีประชาชนออกมาร่วมสมทบกับขบวน รวมทั้งเป่านกหวีดต้อนรับและบริจาคเงินให้นายสุเทพ จากนั้นขบวนเลี้ยวซ้ายแยกราชประสงค์มุ่งหน้าแยกปทุมวัน ก่อนเลี้ยวขวาเข้าถนนพญาไท และเลี้ยวซ้ายเข้าถนนศรีอยุธยา ผ่านหน้าวัดเบญจมบพิตรฯ ถึงลานพระบรมรูปทรงม้าเวลา 12.50 น.
การออกมาร่วมชุมนุมกันอย่างล้นหลามของพลังมวลมหาประชาชน
ประกาศลั่นเจตนารมณ์ไล่ระบอบทักษิณ เปิดสภาฯ ไม่ได้จนกว่าปฏิรูปเสร็จ
ต่อมาเมื่อเวลา 13.40 น. ทุกขบวนเคลื่อนถึงลานพระบรมรูปทรงม้า จากนั้นนายสุเทพนำมวลชนสักการะรัชกาลที่ 5 เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย โดยถวายพวงมาลัยและเครื่องสักการะ หลังเสร็จพิธีนายสุเทพประกาศเจตนารมณ์ว่า มวลมหาประชาชนมีความประสงค์จะประกาศเจตนารมณ์ต่อเบื้องหน้าพระพักตร์พระปิยม หาราช พระผู้ทรงบุกเบิกการปฏิรูปประเทศไทย โดยมีใจความว่า ''จะร่วมกัน ขจัดระบอบทักษิณให้หมดสิ้นจากแผ่นดินสยาม และจะร่วมกันปฏิรูปประเทศไทยเปลี่ยนแปลงประเทศให้มีการปกครองโดยระบอบ ประชาธิปไตยสมบูรณ์แท้จริง โดยจะทำทุกอย่างด้วยหลักสันติ สงบ อหิงสา ขอพระบารมีแห่งองค์พระพุทธเจ้าหลวง ทรงปกปักรักษาประชาชนชาวไทยและขอพระบารมีโปรดประทานพรให้การต่อสู้ประสบความ สำเร็จ ชัยชนะเป็นของประชาชน''
จากนั้นนายสุเทพและผู้ชุมนุมร่วมกันตะโกนไชโย 3 ครั้ง ภายหลังเสร็จพิธี นายสุเทพเดินนำผู้ชุมนุม ไปยังอาคารรัฐสภา เพื่อกราบสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ซึ่งนายสุเทพ นำแกนนำ กปปส. วางพานพุ่ม และปราศรัยตอนหนึ่งว่า วันนี้ได้เข้าสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 โดยขอตั้งปณิธานว่า จะต่อสู้ให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย อย่างแท้จริง และสภาฯ แห่งนี้จะไม่สามารถเปิดได้จนกว่าพวกเราจะปฏิรูปประเทศสำเร็จ กระทั่งเวลา 14.30 น. ขบวน ได้เดินทางออกจากรัฐสภาเพื่อกลับไปยังสวนลุมพินี
กปปส.ใต้คึกคักไม่ขาด ภาคเหนือ–อีสานไร้เหตุป่วน
ด้านความเคลื่อนไหวของกลุ่ม กปปส. ในต่างจังหวัดเป็นไปอย่างคึกคัก โดยที่ จ.สงขลา กลุ่ม กปปส. รวมตัวหน้าสวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่ ก่อนเคลื่อนขบวนไปตามถนนสายต่างๆ ในตัวเมือง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ขณะที่ จ.ภูเก็ต กลุ่ม กปปส. รวมตัวที่หน้าศาลากลางจังหวัด ก่อนเคลื่อนตามถนนสายภายในตัวเมืองพร้อมตะโกนขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ส่วนกลุ่ม กปปส. สุราษฎร์ธานี เดินขบวนไปตามถนนสายต่างๆ ในเขตเทศบาลก่อนไปปักหลักชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัด นอกจากนี้ ที่ จ.ตรัง กลุ่ม กปปส. รวมตัวที่ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 ก่อนเคลื่อนขบวนรอบตลาดสดเทศบาลนครตรัง ส่วน จ.พัทลุง กลุ่ม กปปส. เดินขบวนไปตามถนนในเขตเทศบาลเมือง เพื่อขับไล่นายกรัฐมนตรี และเรียกร้องให้ปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง รวมทั้ง จ.นครศรีธรรมราช กลุ่ม กปปส. เคลื่อนขบวนไปตามถนนราชดำเนิน มุ่งหน้าไปวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เข้าสู่ย่านการค้าและชุมชน เพื่อรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนเข้าร่วมขับไล่รัฐบาล เฉกเดียวกับที่ จ.พิษณุโลก กปปส. นำโดยนางแน่งน้อย อัศวกิตติกร และนายทวี ทองถัน รวมตัวกันบริเวณสวนชมน่านเฉลิมพระเกียรติ ก่อนเคลื่อนขบวนไปหน้าศาลากลางจังหวัด เพื่อเชิญชวนประชาชนให้ออกมาร่วมกันปฏิรูปประเทศและขับไล่นายกรัฐมนตรี
ส่วนที่ จ.ตาก กปปส.เดินขบวนรอบเขตเทศบาลนครแม่สอด ตะโกนขับไล่นายกรัฐมนตรีให้ออกจากตำแหน่ง ก่อนเคลื่อนขบวนไปปักหลักหน้าโรงเรียนสรรพวิทยาคม สำหรับ จ.นครราชสีมา กลุ่ม กปปส. นำโดยทันตแพทย์ศุภผล เอี่ยมเมธาวี รวมตัวกันที่สวนภูมิรักษ์ อ.เมืองนครราชสีมา แล้วเคลื่อนขบวนไปสมทบกับมวลชนที่เวทีลานคนเมือง อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) ก่อนเคลื่อนขบวนตามถนนสายต่างๆ และกลับไปปักหลักชุมนุมที่ลานคนเมืองอีกครั้ง โดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น
'พุทธะอิสระ' ตะลุยม็อบ กวป. พร้อมบุกกองสลากฯ ทวงค่าข้าว
ช่วงสายในวันเดียวกัน หลวงปู่ พุทธะอิสระ แกนนำ กปปส. เวทีศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ นำมวลชนเคลื่อนขบวนด้วยรถบัส รถอีแต๊กและรถจักรยานยนต์ เดินทางไปขับไล่กลุ่มสื่อวิทยุชุมชนเพื่อประชาชน (กวป.) ที่ชุมนุมด้านหน้าสำนักงาน ป.ป.ช. ถนนสนามบินน้ำ ทำให้กลุ่ม กวป. ที่มีมวลชนน้อยกว่าแตกกระเจิงหนีไปคนละทิศละทาง ซึ่งผู้ชุมนุม กปปส. ช่วยกันรื้อเต็นท์และเก็บข้าวของของกลุ่ม กวป. ออกจากหน้าสำนักงาน ป.ป.ช.
ทั้งนี้ มีการค้นพบประทัดยักษ์ หนังสติ๊ก และมีดปลายแหลมจำนวนหนึ่ง ซุกซ่อนอยู่ในลังกระดาษ จึงส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ในช่วงดังกล่าวเกิดเหตุชุลมุนขึ้นระหว่างผู้ชุมนุม กปปส. กับกลุ่มหน้ากากขาว ที่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นกลุ่ม กวป.เข้ามาป่วน จนเกิดการชกต่อยกันขึ้นแต่ยุติลงได้ ขณะเดียวกันการ์ด กปปส. ได้ล็อกตัวผู้ร่วมชุมนุม กวป. 2 คน พร้อมมีดปลายแหลม ก่อนให้หลวงปู่พุทธะอิสระสอบปากคำ จากนั้นได้ส่งตัวให้ พ.ต.อ.สมพล วงศ์ศรีสุนทร ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี รับตัวไปดำเนินคดี ภายหลัง หลวงปู่พุทธะอิสระปราศรัยว่า เดินทางมาเพื่อทวงเงินค่าข้าวที่ขายให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ไม่สามารถเข้าไปได้เพราะเป็นวันหยุดราชการ หลวงปู่พุทธะอิสระจึงนำมวลชนเคลื่อนขบวนไปสมทบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. จากนั้นสั่งให้ผู้ชุมนุม กปปส. ใช้รถแทรกเตอร์ไถรื้อแนวบังเกอร์ของกลุ่ม กวป. ที่นำมาปิดกั้นถนนหน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อเปิดทางให้รถของกลุ่ม กปปส. ผ่านไปได้สะดวก
การเเสดงสีหน้าของนายสุเทพ ขณะขึ้นปราศัยบนเวทีสวนลุมพินี
'นายกฯปู' ผวาม็อบเผ่นไปเชียงใหม่ ด้านแดงเหนือถกเตรียมชุมนุมใหญ่
สำหรับความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น มีรายงานข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช้เวลาวันหยุดพักผ่อนกับครอบครัวที่บ้าน จ.เชียงใหม่ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 28 มี.ค. ซึ่งคนใกล้ชิดเปิดเผยว่า การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องตัดสินไป จ.เชียงใหม่ กลางดึก เนื่องจากไม่ไว้ใจสถานการณ์การเมือง ส่วนการรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบบ้านพัก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ภายในซอยโยธินพัฒนา 3 ยังมีการตั้งจุดตรวจความมั่นคงบริเวณทางเข้าและกลางซอย ขณะที่ช่วงเช้ามีรถยนต์ส่วนบุคคล สีบรอนซ์ทอง 1 คัน ได้ขับผ่านเปิดกระจกรถพร้อมชูธงชาติและเป่านกหวีดเสียงดัง แต่ไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรง ขณะที่ ที่โรงแรมลาพาโลมา จ.พิษณุโลก นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ร่วมประชุมกับแกนนำ นปช. 17 จังหวัดภาคเหนือ อาทิ นายประแสง มงคลศิริ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ และนายบุญเลิศ เรืองทิม หรือ “เลิศ ไม้เก่า” แกนนำ กลุ่ม “นักรบพระองค์ดำ” เพื่อเตรียมความพร้อมเคลื่อนไหวใหญ่วันที่ 5 เม.ย. ท่ามกลางการดูแลความปลอดภัยของการ์ดอย่างเข้มงวด และไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าใกล้ชิดรวมทั้งไม่ให้เข้าไปฟังการประชุม
'เทือก' โวคนนับล้านร่วมม็อบ ลั่น ปิดเกม เม.ย.จ่อระดมพลอีก
ต่อมาเวลา 21.25 น. ที่เวทีปราศรัย กปปส. สวนลุมพินี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ขึ้นเวทีปราศรัยว่า วันนี้ (29 มี.ค.) เป็นประวัติศาสตร์ที่ได้จารึกถึงความรักสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของผู้ รักชาติแผ่นดินที่ได้เสียสละออกมาแสดงพลังร่วมกันด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ คือ รักประเทศไทย รักชาติ รักแผ่นดิน และรักระบอบประชาธิปไตย เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ในการต่อสู้ของประชาชนจะต้องมีการกล่าวขวัญไปอีกนาน ประวัติศาสตร์นี้พี่น้องร่วมกันเขียนขึ้นมา เชื่อว่า เหตุการณ์วันนี้พวกเราจะได้เอาไปพูดคุยกับญาติมิตร ลูกหลานว่า ให้รับรู้สิ่งที่เราทำมาเป็นการต่อสู้ยิ่งใหญ่และสมควรแก่การยกย่อง เพราะเป็นการต่อสู้ของมวลมหาประชาชนนับล้านคน ที่ต่อสู้สันติ สงบ อหิงสา ไม่มีที่ไหนในโลกที่คนนับล้านคนมาต่อสู้แล้วไม่ได้สร้างความเสียหายให้ใคร หรือกับสังคม
ประชาชนออกมาทำบุญตักบาตร พระสุเทพ ปภากโร
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า วันนี้ตนเป็นตัวแทนประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนและเด็ดขาดว่า ไม่ยอมให้มีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้อีกเป็นอันขาด นอกจากจะปฏิรูปประเทศให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งต้องการสื่อไปถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และฝ่าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง เพื่อบอกให้รู้ว่า เราไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งจนกว่าจะปฏิรูปการเลือกตั้งเสร็จ หากฝ่ายผู้มีอำนาจสงสัยว่า ทำได้หรือไม่นั้น ขอให้ทราบว่า ถ้าดื้อดึงให้มีการเลือกตั้งอีก แม้แต่ในกรุงเทพฯ ก็ดำเนินการเลือกตั้งไม่ได้ รวมทั้งจังหวัดต่างๆ หลายสิบจังหวัด จะไม่ยอมให้จัดการเลือกตั้งได้
การแสดงพลังจำนวนมากวันนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์นอกจากไม่มีความชอบธรรมทางกฎหมายแล้วยังไม่มีความชอบธรรมทาง การเมือง เนื่องจากประชาชนไม่ยอมรับ ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยื้อเก้าอี้ไว้ทั้งที่อยู่ไปก็ทำอะไรไม่ได้ และเป็นรัฐบาลล้มเหลวแล้ว เรื่องนี้จะยุติได้ เมื่อข้าราชการโดยเฉพาะตำรวจ ทหารออกมาประกาศตัวแสดงจุดยืนให้ชัดเจน ความเป็นรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จบทันที ซึ่งจะต้องจบและปิดเกมเอา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกไปให้ได้ภายใน เม.ย.นี้ โดยต้องนัดระดมพลครั้งใหญ่อีก 1-2 หน และขอให้เตรียมตัวไว้
'สุเทพ' กร้าว!ต่อสู้ครั้งสุดท้าย ไม่ชัยชนะ ไม่เลิก
จนเเล้วจนรอดในวันที่ 9 พฤษภาคม 2557 นายสุเทพและแกนนำ กปปส.ได้เปิดฉากการประท้วงอีกครั้งที่เรียกว่า 'การต่อสู้ครั้งสุดท้าย' หากไม่ได้รับชัยชนะจะไม่เลิกชุมนุมเด็ดขาด โดยเข้าควบคุมพื้นที่สื่อมวลชนที่เหล่าบรรดาพลังมวลมหาประชาชนมองว่าเป็น กระบอกเสียงให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และโน้มน้าวไม่ให้รายงานโฆษณาชวนเชื่อนิยมรัฐบาลอีกต่อไป เพราะเชื่อว่าเป็นการบิดเบือนความจริง โดยสถานการณ์แลดูจะเข้าสู่สภาวะสุกงอม
กระทั่งเมื่อกลางดึกของวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก ประกาศกฎอัยการศึกในรูปของประกาศของกองทัพบก เนื่องจากผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่ายยังไม่มีทีท่าจะยุติการชุมนุมพร้อมอาจเกิด เหตุปะทะก่อให้เกิดการสูญเสียกันได้ทุกเมื่อ ขณะที่การพยายามจัดเจรจาหาทางออกประเทศทั้งจาก ฝ่ายรัฐบาล-เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์-กปปส.-นปช.-กกต. ที่กองทัพพยายามจัดให้มีขึ้น กลับไม่มีความคืบหน้าหนทางดูช่างตีบตัน เนื่องจากท่าทีไม่มีใครยอมใคร
นำมาซึ่งคำพูดประวัติศาสตร์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น "ไม่ยอมลาออกใช่ไหม จากวินาทีนี้เป็นต้นไปผมขอควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินการปกครองประเทศ"
ซึ่งก็ทำให้เหตุการณ์ระอุทางการเมืองเป็นอันต้องถึงตอนจบจนได้ ในช่วงเย็นของวันที่ 22 พ.ค.2557 พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศผ่านทางโทรทัศน์ทุกช่องว่า กองทัพภายใต้การนำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สามารถควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินได้โดยสมบูรณ์
พระสุเทพ ปภากโร พระลูกวัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม)
ท้ายที่สุดเเล้วฝั่ง กปปส.ในภายใต้การขับเคลื่อนของ นายสุเทพ ก็ได้ประกาศคว้าชัยชนะบนเวทีสวนลุมพินี ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ที่ สวนโมกขพลาราม จากวันนั้นจนวันนี้ 'พระสุเทพ' ก็หันหลังไม่เข้ายุ่งกับการเมืองอีก ตามวาจาที่เคยให้ไว้ในข้างต้น...

Grateful Singapore gives Lee Kuan Yew a hero's funeral

AFP
The body of former prime minister Lee Kuan Yew is transferred atop a gun carriage during a funeral procession in Singapore on March 29, 2015
.
View gallery
Tens of thousands of mourners braved torrential rain, howitzers fired a 21-gun salute and jet fighters screamed across the sky Sunday as Singapore staged a grand funeral for its founding leader Lee Kuan Yew.

"The light that has guided us all this years has been extinguished," his son, Prime Minister Lee Hsien Loong, said in a state funeral at the National University of Singapore attended by Asia-Pacific leaders.
Lee's coffin, draped in the red-and-white national flag and protected by a glass case atop a two-wheeled gun carriage, was earlier taken in a procession from parliament pulled by a ceremonial Land Rover as a rain-soaked crowd chanted his name.
Four F-16 fighters from the air force's Black Knights aerobatic team performed a fly-past -- with one peeling off to symbolise a "missing man" -- as the cortege made its way through a square where Lee was first sworn in as prime minister in 1959.
He kept the position for 31 years, ruling with an iron fist to transform Singapore from a sleepy British colonial outpost into a gleaming metropolis that now enjoys one of the world's highest standards of living.
Singapore became a republic in 1965 after a brief and stormy union with Malaysia. Lee, 91, died less than five months before the island celebrates its 50th anniversary as a nation.
A 21-gun salute is normally reserved for sitting heads of state but an exception was made for Lee.
- 'Our national hero' -
"He is like a father to all Singaporeans, the past, present and future generations," said Tan Yen Lee, 26, a staff nurse at the Singapore General Hospital where Lee died Monday after a seven-week confinement for severe pneumonia.
"We have seen over the last week amazing scenes, a massive outpouring of emotion for our national hero, and it culminates today."
People wept openly, waved flags and threw flowers on the street as the motorcade drove through districts associated with the political career of the British-trained former trade union lawyer.
Officials said more than 450,000 people -- in a nation with just 3.34 million citizens -- had paid their last respects to Lee by the time his public wake ended in parliament on Saturday night.
Strangers huddled together under umbrellas as they waited patiently along the 15-kilometre (10-mile) procession route.
Families including babies and grandparents turned up early to secure choice spots, bringing umbrellas and plastic ponchos in anticipation of rain.
"We are here today as a family to witness this historic moment. As Singaporeans we may have our differences, but when it comes to a crunch we stand together. That is what Singapore is about and that is Mr Lee's legacy," said teacher Joel Lim, 35.
Lee stepped down in 1990 in favour of his deputy Goh Chok Tong, who in turn was succeeded by Lee's son.
- Reconciliation call -
Former US president Bill Clinton, Japanese Prime Minister Shinzo Abe, South Korean President Park Geun-Hye, Australian Prime Minister Tony Abbott, Indian Prime Minister Narendra Modi, Cambodian Prime Minister Hun Sen and Indonesian President Joko Widodo were among the dignitaries in attendance.
Lee is revered by Singaporeans for his economic and social legacy but criticised by rights groups for sidelining political opponents, muzzling the press and clamping down on civil liberties. A number of his opponents went bankrupt due to costly libel damages or went into self-exile.
Phil Robertson, deputy Asia director for Human Rights Watch, called on Singapore to mark Lee's passing by "making a break from the politics of yesteryear" while remembering his achievements.
"The government should start by reconciling with many of the exiles who have been persecuted and pushed away for far too long," he said.
Singapore now has one of the world's highest GDP per capita incomes at $56,284 in 2014, up from a mere $516 when it gained independence.
Ninety percent of Singaporeans own their homes, thanks to a public housing scheme launched by Lee, and the country enjoys one of the world's lowest crime rates.
Its highly paid civil service is consistently ranked among the world's most honest.
Tens of thousands of mourners braved torrential rain, howitzers fired a 21-gun salute and jet fighters screamed across the sky Sunday as Singapore staged a grand funeral for its founding leader Lee Kuan Yew.
"The light that has guided us all these years has been extinguished," his son, Prime Minister Lee Hsien Loong, told a state funeral at the National University of Singapore attended by Asia-Pacific leaders.
Lee's coffin, draped in the red-and-white national flag and protected by a glass case atop a two-wheeled gun carriage, was earlier taken in a procession from parliament pulled by a ceremonial Land Rover as a rain-soaked crowd chanted his name.
Four F-16 fighters from the air force's Black Knights aerobatic team performed a fly-past -- with one peeling off to symbolise a "missing man" -- as the cortege made its way through a square where Lee was first sworn in as prime minister in 1959.
He kept the position for 31 years, ruling with an iron fist to transform Singapore from a sleepy British colonial outpost into a gleaming metropolis that now enjoys one of the world's highest standards of living.
Singapore became a republic in 1965 after a brief and stormy union with Malaysia. Lee, 91, died less than five months before the island celebrates its 50th anniversary as a nation.
A 21-gun salute is normally reserved for sitting heads of state but an exception was made for Lee.
- 'Our national hero' -
After the eulogies ended at the state funeral, civil defence sirens sounded across the island to signal the beginning and end of one minute of silence.
The funeral ended with the singing of the Malay-language national anthem "Majulah Singapura" (Onwards Singapore).
"He is like a father to all Singaporeans, the past, present and future generations," said Tan Yen Lee, 26, a staff nurse at the Singapore General Hospital where Lee died Monday after a seven-week confinement for severe pneumonia.
"We have seen over the last week amazing scenes, a massive outpouring of emotion for our national hero, and it culminates today."
People wept openly, waved flags and threw flowers on the street as the motorcade drove through districts associated with the political career of the British-trained former trade union lawyer.
Officials said more than 450,000 people -- in a nation with just 3.34 million citizens -- had paid their last respects to Lee by the time his public wake ended in parliament on Saturday night.
On Sunday strangers huddled together under umbrellas as they waited patiently along the 15-kilometre (10-mile) funeral procession route.
Families including babies and grandparents turned up early to secure choice spots, bringing umbrellas and plastic ponchos in anticipation of rain.
"We are here today as a family to witness this historic moment. As Singaporeans we may have our differences, but when it comes to a crunch we stand together. That is what Singapore is about and that is Mr Lee's legacy," said teacher Joel Lim, 35.
Lee stepped down in 1990 in favour of his deputy Goh Chok Tong, who in turn was succeeded by Lee's son.
- Reconciliation call -
Former US president Bill Clinton and Lee's close friend former US secretary of state Henry Kissinger, Japanese Prime Minister Shinzo Abe, South Korean President Park Geun-Hye, Australian Prime Minister Tony Abbott, Indian Prime Minister Narendra Modi, Cambodian Prime Minister Hun Sen and Indonesian President Joko Widodo were among the dignitaries in attendance.
Former foreign secretary and Leader of the House of Commons William Hague represented old colonial ruler Britain.
Lee is revered by Singaporeans for his economic and social legacy but criticised by rights groups for sidelining political opponents, muzzling the press and clamping down on civil liberties. A number of his opponents went bankrupt due to costly libel damages or went into self-exile.
Phil Robertson, deputy Asia director for Human Rights Watch, called on Singapore to mark Lee's passing by "making a break from the politics of yesteryear" while remembering his achievements.
"The government should start by reconciling with many of the exiles who have been persecuted and pushed away for far too long," he said.
Singapore now has one of the world's highest GDP per capita incomes at $56,284 in 2014, up from a mere $516 when it gained independence.
Ninety percent of Singaporeans own their homes, thanks to a public housing scheme launched by Lee, and the country enjoys one of the world's lowest crime rates.
Its highly paid civil service is consistently ranked among the world's most honest.

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2558


A record-breaking attempt to fly around the world in a solar-powered plane has got under way from Abu Dhabi.
The aircraft - called Solar Impulse-2 - took off from the Emirate, heading east to Muscat in Oman.
Over the next five months, it will skip from continent to continent, crossing both the Pacific and Atlantic oceans in the process.
Andre Borschberg was at the controls of the single-seater vehicle as it took off at 07:12 local time (03:12 GMT).
He will share the pilot duties in due course with fellow Swiss, Bertrand Piccard.
The plan is stop off at various locations around the globe, to rest and to carry out maintenance, and also to spread a campaigning message about clean technologies.
Before taking off, Borschberg told BBC News: "I am confident we have a very special aeroplane, and it will have to be to get us across the big oceans.
"We may have to fly for five days and five nights to do that, and it will be a challenge.
"But we have the next two months, as we fly the legs to China, to train and prepare ourselves."
Monday's leg to Oman will cover about 400km and take an estimated 12 hours. Details of the journey are being relayed on the internet.
Global map
The project has already set a number of world records for solar-powered flight, including making a high-profile transit of the US in 2013.
But the round-the-world venture is altogether more dramatic and daunting, and has required the construction of an even bigger plane than the prototype, Solar Impulse-1.
This new model has a wingspan of 72m, which is wider than a 747 jumbo jet. And yet, it weighs only 2.3 tonnes.
Its light weight will be critical to its success.
So, too, will the performance of the 17,000 solar cells that line the top of the wings, and the energy-dense lithium-ion batteries it will use to sustain night-time flying.
Operating through darkness will be particularly important when the men have to cross the Pacific and the Atlantic.
The slow speed of their prop-driven plane means these legs will take several days and nights of non-stop flying to complete.
Piccard and Borschberg - whoever is at the controls - will have to stay alert for nearly all of the time they are airborne.
They will be permitted only catnaps of up to 20 mins - in the same way a single-handed, round-the-world yachtsman would catch small periods of sleep.
They will also have to endure the physical discomfort of being confined in a cockpit that measures just 3.8 cubic metres in volume - not a lot bigger than a public telephone box.
Graphic
Flight simulators have helped the pilots to prepare, and each man has developed his own regimen to cope.
Borschberg will use yoga to try to stay fresh. Piccard is using self-hypnosis techniques.
"But my passion also will keep me going," said Piccard.
"I had this dream 16 years ago of flying around the world without fuel, just on solar power. Now, we're about to do it. The passion is there and I look forward so much to being in the cockpit."
The support team is well drilled. While the mission will be run out of a control room in Monaco, a group of engineers will follow the plane around the globe. They have a mobile hangar to house the plane when it is not in the air.
It is not at all certain Solar Impulse will succeed. Computer modelling suggests the ocean crossings are feasible, given the right weather conditions.
But that same modelling has shown also that there may be occasions when the team simply has to sit tight on the ground for weeks before a fair window opens.
"Last year, we had a very good exercise. We went around the world virtually, but with actual conditions," explained Raymond Clerc, mission director.
"For the Pacific crossing, it was an easy decision. We had a very good window on 2 May. But when we were on the East Coast of the USA, we had to look to cross the Atlantic and we had to wait 30 days to find a good window to cross the Atlantic. And then it was easy - 3.5 days and we were in Seville, [Spain]," he told BBC News.
Pilot Andre Borschberg gives a guided tour of the solar plane
If the pilots should come unstuck over the Pacific or the Atlantic, they will bail out and use ocean survival gear until they can be picked up by a ship.
Of the two protagonists, Andre Borschberg perhaps needs a little more introduction.
A trained engineer and former air-force pilot, he has built a career as an entrepreneur in internet technologies.
Bertrand Piccard, on the other hand, is well known for his ballooning exploits.
Along with Brian Jones, he completed the first non-stop, circumnavigation of the world in 1999, using the Breitling Orbiter 3 balloon. The Piccard name is synonymous with pushing boundaries.
Bertrand's father, Jacques Piccard, was the first to reach the deepest place in the ocean (a feat achieved with Don Walsh in the Trieste bathyscaphe in 1960). And his grandfather, Auguste Piccard, was the first person to take a balloon into the stratosphere, in 1931.
Jonathan.Amos-INTERNET@bbc.co.uk and follow me on Twitter: @BBCAmos

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2558

Early Warning Signs for 9 Types of Cancer

Early diagnosis will often significantly raise the success rate in the battle against cancer. However, many cancer symptoms are also common in other illnesses, leading doctors to initially diagnose these illnesses instead of the cancer. By the time you’re done with this article, you’ll have gotten to know the nine major cancer symptoms, which should be your warning signs, helping you catch the cancer early and saving your life, or that of your loved ones.  
 
Note: Of course, the first thing to do when encountering these persistent symptoms is to contact a doctor immediately.

Cancer Warning Signs
 
1. Colon Cancer
Colon cancer is considered to be one of the deadliest forms of cancer in the western world, and manifests as growths in the lining of the colon and/or rectum. When diagnosed early enough, the success rate for treatments is very high. Adopting a healthy, active lifestyle and fiber-rich diet, as well as avoiding alcohol and processed meat can reduce the likeliness of developing this type of cancer.

Blood in the stool
The appearance of blood in the stool may indicate other stomach and intestinal illnesses, but also as a warning sign of colon cancer. If you find fresh blood in your stool, or have black stool, even in small amounts should not be ignored and a physician should be consulted.

Unusually fast or slow bowel movements
When your digestive system doesn’t work properly, it can lead to chronic diarrhea or constipation – a possible sign of colon cancer. If your bowel movements are not normal for a period of several weeks, or doesn’t respond to medical treatment, it may serve as a warning sign for cancer.

Other symptoms:
Severe stomachaches
Lumps in your stomach
Unexplained loss of weight 
 
 
 
2. Ovarian Cancer
This type of cancer attacks the ovarian tissues and is mostly common with women over the age of 50, but can also appear in younger women. The reasons for contracting this type of cancer are not very well known. The known factors are genetic, avoiding getting pregnant, and fertility treatments.

Indigestion
Symptoms such as bloating, nausea, constipation, diarrhea, and gas can be indicative of ovarian cancer. Since many women experience these kinds of sensitivities in their digestive system, people rarely attribute it to cancer. This is why it’s important to have these symptoms checked, if only to rule out cancer.

Other symptoms:
Loss of appetite or feeling full quickly
Pelvic and lower-back pains
Frequent urination
Abnormal vaginal bleeding after menopause
Lethargy 
 
Cancer Warning Signs

3. Skin Cancer
Skin cancer often attack the surface of the skin, which later metastasize into other parts of the body. The main cause of this type of cancer is unprotected exposure to sunlight, and in farer-skinned individuals in particular.

A change in the shape, size or color of moles or beauty marks
Most moles and beauty marks are benign, but some may indicate the presence of skin cancer. New moles and beauty marks, ones that change their color, shape or size in a short time (weeks/months), or a change in texture to brittle/greasy/bloody – are all symptoms of skin cancer. Even if you don’t feel like having them checked, it’s important to keep an eye on them, because anyone is susceptible. Early diagnosis can save your life, even in cases of malignant melanoma.

Skin sores that don’t heal after a couple of weeks
Our skin has the ability to repair damages it experiences, but in some cases, such lesions and sores don’t heal for weeks. This must serve as a warning, so if you notice such sores on your skin, contact your GP immediately.

The appearance of spots or a change in the texture of the skin
If you notice new spots on your body, or have ones you’ve never checked, as well as a change in their color and texture, must be tested since they can be a warning sign of cancer.

 
4. Breast Cancer
Breast cancer usually starts as a small, painless lump(s) in the breasts, and will later metastasize into the rest of the body. Diagnosing breast cancer quickly increases the survival rate considerably. Breast cancer is mostly common in women over the age of 50, but can appear in any woman of any age. It is also possible for men to contract, but these cases are very rare.

Abnormal lumps or swelling of the breasts
The most common symptoms of breast cancer are the appearance of lumps, swellings or endema. They may not be painful, but should be looked at by a doctor nonetheless.

Inflammation, lumps and dimples on the breasts
Visible changes such as inflammation, bumps or dimples on the breasts could be indicative of cancer. Even if you think that the symptoms are barely noticeable, don’t ignore them – if it truly is breast cancer, early discovery can save your life.

Nipples: change in location / inflammation / secretions
If the skin of your nipple changes texture or becomes brittle, if it becomes inflamed, swollen, its shape changes and its location does as well (flattening or sinking of the nipple), or secretions are common indicators of breast cancer. If the symptoms don’t disappear after a while, consult with your physician.

Other symptoms:
Chronic pain in the breasts or armpits
Uneven, inflamed blood vessels
Swelling of the armpits or the collar bone
Sores on the breasts

Cancer Warning Signs
 
5. Lung Cancer
This deadly cancer is common in both women and men and leads to the formation of growths in the lungs, destroying them. The most common cause of this cancer is first and second-hand smoking of tobacco products.

Shortness of breath
Do you feel like you’re out of breath more often, even when you’re resting, or that you’re constantly wheezing, it may indicate lung cancer. If the shortness of breath a result of an airways infection that doesn’t respond to medication, it can also be a warning sign.

Chronic cough or bloody cough
Coughing on its own is a common thing, especially during and after a cold or the flu. If your coughing continues for 3 weeks or longer, or gets worse, it should serve as a warning sign. Even if you’re in good health, but the cough persists, it may indicate lung cancer. If you cough blood, even in small amounts, consult your physician immediately.

Other symptoms:
Sharp pain in the chest or shoulder when taking a deep breath
Swelling in the neck, particularly in the lymph nodes
Difficulty swallowing
Lethargy 
 
 
6. Stomach Cancer
Stomach cancer appears as growths in the lining of the stomach, which later spreads to the lymph nodes and the organs that are in close proximity to the stomach. The causes for this cancer are unknown, though some experts claim it’s a result of consuming preservatives. This type of cancer is more common in people 65 years of age and over.

Drastic, unintentional weight-loss
We may experience weight fluctuations throughout our lives, planned or otherwise. However, if you experience a drastic loss of weight when you haven’t changed your lifestyle may indicate stomach cancer.

Chronic indigestion
Indigestion can occur quite often and for various reasons, but when it’s accompanied by intense pain, happens spontaneously (without any explanation), or chronic indigestion could be symptoms of stomach cancer. It’s important to inform your physician of these symptoms.

Other symptoms:
Blood in the stool or black stool
Nausea and sickness
General lack of apatite

Cancer Warning Signs
 
7. Cancer of the Mouth
Growths in the oral cavity, on the tongue, lips and gums, as well as the saliva gland and tonsils are common in cases of mouth cancer. If it metastasizes, this cancer will damage the lymphatic system, as well as your head and lungs. It’s more common in men than women who are over 40. Quitting cigarettes and reducing alcohol consumption can drastically decrease the risk of contracting it.

Mouth or tongue ulcers that last for more than three weeks
Many people experience the occasional mouth ulcer, which can be caused by stress, changes in the weather or a compromised immune system. In cases where such ulcers don’t heal after three weeks, they may be symptomatic of mouth cancer.

Other symptoms:
Red or white spots in the oral cavity
Unexplained pain in the mouth or ears
Unexplained lump in the throat
Intense sore throat
Hoarseness and trouble swallowing
Oral swelling and bleeding
Color changes in the lips, gums, tongue and inner cheeks 
 
 
8. Throat Cancer
Growths on the vocal chords and the lining of the throat are symptomatic of throat cancer, and can spread to the esophagus, neck, and lymph nodes. Changing to a healthy lifestyle, quitting cigarettes and alcohol can drastically reduce the risk of developing this type of cancer.

Lumps or swelling in the neck that last more than three weeks
Any inflammation or lumps you notice that last more than three weeks can by a symptom of throat cancer. Whether or not the swelling/lumps are painful or not, or whether they’re big or small, you will want to contact your physician.
Hoarseness 

Pain in the esophagus and trouble swallowing
When we swallow our food, it goes through our esophagus on its way to the stomach. If you are having difficulties swallowing your food, or feel pain while doing so, or feel that the food has gotten stuck in esophagus and won't go on - you should immediately check the issue with your doctor. 

Other symptoms:
Chronic vomiting
A chronic cough or coughs with blood
Unexplained loss of weight 

 
9. Prostate Cancer
Prostate cancer is one of the most common types of cancer for men, especially those of age 70 and above. This cancer is in ifact a malignant tumor in the prostate gland, which belongs to the male's reproductive system and is located close to the bladder.
Difficulties peeing
One of the most common problems of aging in men is having problems peeing. However, this is also a common symptome of prostate cancer and so such problems should not be ignored just because you are of a certain age. Problems like giving urine frequently or trouble pushing it out or not being able to hold it - are major symptoms of this cancer.
Other symptoms:
Blood in the urine
A burning sensation while peeing
Blood in the semen

..........................................