ย้อนรอย ประกาศิต 'สุเทพ' กร้าว! ไม่ให้เปิดสภาปิดเกมรัฐบาล'ยิ่งลักษณ์'
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 30 มี.ค. 2558 05:30
"อาตมาไม่ใช่นักการเมือง อาตมาบวชเป็นพระ
เว้นวรรคจากการเมืองชั่วคราว จะมาเยี่ยมก็ได้ แต่มาพูดเรื่องธรรมะ
ไม่พูดเรื่องการเมือง" นี่คือคำกล่าวพระสุเทพ ปภากโร พระลูกวัดธารน้ำไหล
(สวนโมกขพลาราม) ต.เสม็ด อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
เมื่อตัดสินใจหันหน้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์...
เเต่กลับกันสมัยภายใต้ชื่อ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือ 'ลุงกำนัน' ซึ่งมีดีกรีทางการเมืองไม่เป็นสองรองใคร เป็นถึงอดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีต ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เเละอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็น ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมยืนหยัดดำรงตำแหน่งแกนนำสำคัญในการออกมาร่วมชุมนุมกัน อย่างล้นหลามของพลังมวลมหาประชาชน เพื่อเป้าหมายโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์เมื่อปี56 ต่อปี 57
ย้อนไปเมื่อปลายปี 2556 สถานการณ์ทางการเมืองไทยเริ่มอยู่ในสภาวะตึงเครียด ส.ส.พรรคเพื่อไทยนำโดยนายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม 'ฉบับเหมาเข่ง' เข้าสภาฯ ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านและการชุมนุมคัดค้านครั้งใหญ่ แม้ว่าภายหลังร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวจะเงียบหายไป แต่องศาความร้อนแรงของอุณหภูมิทางการเมืองกลับไม่ได้ลดหลั่นตามลงไปด้วย จากกระแสพลังมวลชนที่ถูกจุดติดทำให้มีการ 'ยกระดับ' ข้อเรียกร้องไปเรื่อยๆ จากถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ไปเป็นบังคับให้รัฐบาลลาออก จนเมื่อรัฐบาลประกาศยุบสภา ก็มีการผลักดันข้อเรียกร้องไปเป็น 'ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง' ซึ่ง คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่ สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เป็นผู้สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว และใช้มาตรการต่างๆ เพื่อขัดขวางไม่ให้เกิดการเลือกตั้ง รวมทั้งการนำกลยุทธ์ปิดล้อมหน่วยเลือกตั้งเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้มีสิทธิ์ เลือกตั้งเข้าไปใช้สิทธิ์
เวลาต่อมา การปิดกั้นการใช้สิทธิเเละเสรีภาพโดยมวลชนที่เชื่อมั่นในตัว "ลุงกำนัน" ภายใต้แนวทาง "ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง" ก็กลายเป็นก้าวแรกที่นำประเทศเข้าไปสู่หนทางที่มองไม่เห็นทางออก จนทำให้กองทัพที่นำโดย 'บิ๊กตู่' พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถ อ้าง ป็นสาเหตุในการทำรัฐประหาร ประกาศใช้กฎอัยการศึกเป็นครั้งที่ 8 ของไทยในรอบครบ 100 ปี
กปปส.ทะลักร่วมเคลื่อนขบวนใหญ่ "สุเทพประกาศิต ไม่ให้เปิดสภาฯ หากไม่ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" มวลมหาประชาชนสมทบตลอดทาง
โดยบรรยากาศชุมนุมใหญ่ของกลุ่ม กปปส. คึกคักตั้งช่วงเช้า 29 มี.ค.57 โดยมวลชนที่ปักหลักอยู่ในเวทีสวนลุมพินีลุกขึ้นมาเตรียมตัวออกเดินขบวนไปยัง ลานพระบรมรูปทรงม้า ตามที่นายสุเทพ นัดหมายไว้และมีมวลชนทยอยสมทบที่เวทีต่อเนื่อง ซึ่งหากจำกันได้ลุงกำนันประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯ มาแล้วหลายครั้งก่อนหน้า จากนั้นมีขบวนดุริยางค์นำนายสุเทพพร้อมกับนางศรีสกุล พร้อมพันธุ์ ภริยาและแกนนำ กปปส.ทุกคน เดินทางถึงลานพิธีบริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้า อยู่หัว รัชกาลที่ 6 เพื่อกราบสักการะเป็นสิริมงคล ก่อนเคลื่อนขบวน โดยมีการจัดริ้วขบวน 6 ขบวน ดังนี้ ขบวนแรกตั้งขบวน ข้างลานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 ขบวนที่ 2 ตั้งบริเวณประตู 3 ตรงข้ามตึกอื้อจือเหลียง ขบวนที่ 3 ตั้งบริเวณประตู 2 ถนนวิทยุ ขบวนที่ 4 ตั้งบริเวณประตู 1 ตรงข้าม สน.ลุมพินี ขบวนที่ 5 บริเวณประตู 8 ถนนสารสิน และขบวนสุดท้ายตั้งบริเวณประตู 7 ถนนสารสิน แต่ละขบวนชูป้ายปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
ขณะที่นายสุเทพเดินอยู่ช่วงขบวนที่ 3 และ 4 ท่ามกลางวงล้อมการ์ดดูแลความปลอดภัยเข้มงวด และในขบวนมีรถเสบียงคอยแจกน้ำและข้าวกล่องให้ผู้ชุมนุม รวมทั้งรถพยาบาลคอยดูเเลให้บริการแจกยาดม จนกระทั่งเวลา 09.30 น. ขบวนเริ่มเคลื่อนตามเส้นทางถนนราชดำริอย่างล่าช้า เนื่องจากมีประชาชนเข้าร่วมขบวนจำนวนมากทำให้ขบวนยาวเป็นกิโลเมตร ขณะที่ตามเส้นทางมีประชาชนออกมาร่วมสมทบกับขบวน รวมทั้งเป่านกหวีดต้อนรับและบริจาคเงินให้นายสุเทพ จากนั้นขบวนเลี้ยวซ้ายแยกราชประสงค์มุ่งหน้าแยกปทุมวัน ก่อนเลี้ยวขวาเข้าถนนพญาไท และเลี้ยวซ้ายเข้าถนนศรีอยุธยา ผ่านหน้าวัดเบญจมบพิตรฯ ถึงลานพระบรมรูปทรงม้าเวลา 12.50 น.
ประกาศลั่นเจตนารมณ์ไล่ระบอบทักษิณ เปิดสภาฯ ไม่ได้จนกว่าปฏิรูปเสร็จ
ต่อมาเมื่อเวลา 13.40 น. ทุกขบวนเคลื่อนถึงลานพระบรมรูปทรงม้า จากนั้นนายสุเทพนำมวลชนสักการะรัชกาลที่ 5 เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย โดยถวายพวงมาลัยและเครื่องสักการะ หลังเสร็จพิธีนายสุเทพประกาศเจตนารมณ์ว่า มวลมหาประชาชนมีความประสงค์จะประกาศเจตนารมณ์ต่อเบื้องหน้าพระพักตร์พระปิยม หาราช พระผู้ทรงบุกเบิกการปฏิรูปประเทศไทย โดยมีใจความว่า ''จะร่วมกัน ขจัดระบอบทักษิณให้หมดสิ้นจากแผ่นดินสยาม และจะร่วมกันปฏิรูปประเทศไทยเปลี่ยนแปลงประเทศให้มีการปกครองโดยระบอบ ประชาธิปไตยสมบูรณ์แท้จริง โดยจะทำทุกอย่างด้วยหลักสันติ สงบ อหิงสา ขอพระบารมีแห่งองค์พระพุทธเจ้าหลวง ทรงปกปักรักษาประชาชนชาวไทยและขอพระบารมีโปรดประทานพรให้การต่อสู้ประสบความ สำเร็จ ชัยชนะเป็นของประชาชน''
จากนั้นนายสุเทพและผู้ชุมนุมร่วมกันตะโกนไชโย 3 ครั้ง ภายหลังเสร็จพิธี นายสุเทพเดินนำผู้ชุมนุม ไปยังอาคารรัฐสภา เพื่อกราบสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ซึ่งนายสุเทพ นำแกนนำ กปปส. วางพานพุ่ม และปราศรัยตอนหนึ่งว่า วันนี้ได้เข้าสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 โดยขอตั้งปณิธานว่า จะต่อสู้ให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย อย่างแท้จริง และสภาฯ แห่งนี้จะไม่สามารถเปิดได้จนกว่าพวกเราจะปฏิรูปประเทศสำเร็จ กระทั่งเวลา 14.30 น. ขบวน ได้เดินทางออกจากรัฐสภาเพื่อกลับไปยังสวนลุมพินี
กปปส.ใต้คึกคักไม่ขาด ภาคเหนือ–อีสานไร้เหตุป่วน
ด้านความเคลื่อนไหวของกลุ่ม กปปส. ในต่างจังหวัดเป็นไปอย่างคึกคัก โดยที่ จ.สงขลา กลุ่ม กปปส. รวมตัวหน้าสวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่ ก่อนเคลื่อนขบวนไปตามถนนสายต่างๆ ในตัวเมือง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ขณะที่ จ.ภูเก็ต กลุ่ม กปปส. รวมตัวที่หน้าศาลากลางจังหวัด ก่อนเคลื่อนตามถนนสายภายในตัวเมืองพร้อมตะโกนขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ส่วนกลุ่ม กปปส. สุราษฎร์ธานี เดินขบวนไปตามถนนสายต่างๆ ในเขตเทศบาลก่อนไปปักหลักชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัด นอกจากนี้ ที่ จ.ตรัง กลุ่ม กปปส. รวมตัวที่ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 ก่อนเคลื่อนขบวนรอบตลาดสดเทศบาลนครตรัง ส่วน จ.พัทลุง กลุ่ม กปปส. เดินขบวนไปตามถนนในเขตเทศบาลเมือง เพื่อขับไล่นายกรัฐมนตรี และเรียกร้องให้ปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง รวมทั้ง จ.นครศรีธรรมราช กลุ่ม กปปส. เคลื่อนขบวนไปตามถนนราชดำเนิน มุ่งหน้าไปวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เข้าสู่ย่านการค้าและชุมชน เพื่อรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนเข้าร่วมขับไล่รัฐบาล เฉกเดียวกับที่ จ.พิษณุโลก กปปส. นำโดยนางแน่งน้อย อัศวกิตติกร และนายทวี ทองถัน รวมตัวกันบริเวณสวนชมน่านเฉลิมพระเกียรติ ก่อนเคลื่อนขบวนไปหน้าศาลากลางจังหวัด เพื่อเชิญชวนประชาชนให้ออกมาร่วมกันปฏิรูปประเทศและขับไล่นายกรัฐมนตรี
ส่วนที่ จ.ตาก กปปส.เดินขบวนรอบเขตเทศบาลนครแม่สอด ตะโกนขับไล่นายกรัฐมนตรีให้ออกจากตำแหน่ง ก่อนเคลื่อนขบวนไปปักหลักหน้าโรงเรียนสรรพวิทยาคม สำหรับ จ.นครราชสีมา กลุ่ม กปปส. นำโดยทันตแพทย์ศุภผล เอี่ยมเมธาวี รวมตัวกันที่สวนภูมิรักษ์ อ.เมืองนครราชสีมา แล้วเคลื่อนขบวนไปสมทบกับมวลชนที่เวทีลานคนเมือง อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) ก่อนเคลื่อนขบวนตามถนนสายต่างๆ และกลับไปปักหลักชุมนุมที่ลานคนเมืองอีกครั้ง โดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น
'พุทธะอิสระ' ตะลุยม็อบ กวป. พร้อมบุกกองสลากฯ ทวงค่าข้าว
ช่วงสายในวันเดียวกัน หลวงปู่ พุทธะอิสระ แกนนำ กปปส. เวทีศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ นำมวลชนเคลื่อนขบวนด้วยรถบัส รถอีแต๊กและรถจักรยานยนต์ เดินทางไปขับไล่กลุ่มสื่อวิทยุชุมชนเพื่อประชาชน (กวป.) ที่ชุมนุมด้านหน้าสำนักงาน ป.ป.ช. ถนนสนามบินน้ำ ทำให้กลุ่ม กวป. ที่มีมวลชนน้อยกว่าแตกกระเจิงหนีไปคนละทิศละทาง ซึ่งผู้ชุมนุม กปปส. ช่วยกันรื้อเต็นท์และเก็บข้าวของของกลุ่ม กวป. ออกจากหน้าสำนักงาน ป.ป.ช.
ทั้งนี้ มีการค้นพบประทัดยักษ์ หนังสติ๊ก และมีดปลายแหลมจำนวนหนึ่ง ซุกซ่อนอยู่ในลังกระดาษ จึงส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ในช่วงดังกล่าวเกิดเหตุชุลมุนขึ้นระหว่างผู้ชุมนุม กปปส. กับกลุ่มหน้ากากขาว ที่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นกลุ่ม กวป.เข้ามาป่วน จนเกิดการชกต่อยกันขึ้นแต่ยุติลงได้ ขณะเดียวกันการ์ด กปปส. ได้ล็อกตัวผู้ร่วมชุมนุม กวป. 2 คน พร้อมมีดปลายแหลม ก่อนให้หลวงปู่พุทธะอิสระสอบปากคำ จากนั้นได้ส่งตัวให้ พ.ต.อ.สมพล วงศ์ศรีสุนทร ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี รับตัวไปดำเนินคดี ภายหลัง หลวงปู่พุทธะอิสระปราศรัยว่า เดินทางมาเพื่อทวงเงินค่าข้าวที่ขายให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ไม่สามารถเข้าไปได้เพราะเป็นวันหยุดราชการ หลวงปู่พุทธะอิสระจึงนำมวลชนเคลื่อนขบวนไปสมทบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. จากนั้นสั่งให้ผู้ชุมนุม กปปส. ใช้รถแทรกเตอร์ไถรื้อแนวบังเกอร์ของกลุ่ม กวป. ที่นำมาปิดกั้นถนนหน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อเปิดทางให้รถของกลุ่ม กปปส. ผ่านไปได้สะดวก
'นายกฯปู' ผวาม็อบเผ่นไปเชียงใหม่ ด้านแดงเหนือถกเตรียมชุมนุมใหญ่
สำหรับความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น มีรายงานข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช้เวลาวันหยุดพักผ่อนกับครอบครัวที่บ้าน จ.เชียงใหม่ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 28 มี.ค. ซึ่งคนใกล้ชิดเปิดเผยว่า การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องตัดสินไป จ.เชียงใหม่ กลางดึก เนื่องจากไม่ไว้ใจสถานการณ์การเมือง ส่วนการรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบบ้านพัก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ภายในซอยโยธินพัฒนา 3 ยังมีการตั้งจุดตรวจความมั่นคงบริเวณทางเข้าและกลางซอย ขณะที่ช่วงเช้ามีรถยนต์ส่วนบุคคล สีบรอนซ์ทอง 1 คัน ได้ขับผ่านเปิดกระจกรถพร้อมชูธงชาติและเป่านกหวีดเสียงดัง แต่ไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรง ขณะที่ ที่โรงแรมลาพาโลมา จ.พิษณุโลก นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ร่วมประชุมกับแกนนำ นปช. 17 จังหวัดภาคเหนือ อาทิ นายประแสง มงคลศิริ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ และนายบุญเลิศ เรืองทิม หรือ “เลิศ ไม้เก่า” แกนนำ กลุ่ม “นักรบพระองค์ดำ” เพื่อเตรียมความพร้อมเคลื่อนไหวใหญ่วันที่ 5 เม.ย. ท่ามกลางการดูแลความปลอดภัยของการ์ดอย่างเข้มงวด และไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าใกล้ชิดรวมทั้งไม่ให้เข้าไปฟังการประชุม
'เทือก' โวคนนับล้านร่วมม็อบ ลั่น ปิดเกม เม.ย.จ่อระดมพลอีก
ต่อมาเวลา 21.25 น. ที่เวทีปราศรัย กปปส. สวนลุมพินี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ขึ้นเวทีปราศรัยว่า วันนี้ (29 มี.ค.) เป็นประวัติศาสตร์ที่ได้จารึกถึงความรักสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของผู้ รักชาติแผ่นดินที่ได้เสียสละออกมาแสดงพลังร่วมกันด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ คือ รักประเทศไทย รักชาติ รักแผ่นดิน และรักระบอบประชาธิปไตย เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ในการต่อสู้ของประชาชนจะต้องมีการกล่าวขวัญไปอีกนาน ประวัติศาสตร์นี้พี่น้องร่วมกันเขียนขึ้นมา เชื่อว่า เหตุการณ์วันนี้พวกเราจะได้เอาไปพูดคุยกับญาติมิตร ลูกหลานว่า ให้รับรู้สิ่งที่เราทำมาเป็นการต่อสู้ยิ่งใหญ่และสมควรแก่การยกย่อง เพราะเป็นการต่อสู้ของมวลมหาประชาชนนับล้านคน ที่ต่อสู้สันติ สงบ อหิงสา ไม่มีที่ไหนในโลกที่คนนับล้านคนมาต่อสู้แล้วไม่ได้สร้างความเสียหายให้ใคร หรือกับสังคม
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า วันนี้ตนเป็นตัวแทนประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนและเด็ดขาดว่า ไม่ยอมให้มีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้อีกเป็นอันขาด นอกจากจะปฏิรูปประเทศให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งต้องการสื่อไปถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และฝ่าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง เพื่อบอกให้รู้ว่า เราไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งจนกว่าจะปฏิรูปการเลือกตั้งเสร็จ หากฝ่ายผู้มีอำนาจสงสัยว่า ทำได้หรือไม่นั้น ขอให้ทราบว่า ถ้าดื้อดึงให้มีการเลือกตั้งอีก แม้แต่ในกรุงเทพฯ ก็ดำเนินการเลือกตั้งไม่ได้ รวมทั้งจังหวัดต่างๆ หลายสิบจังหวัด จะไม่ยอมให้จัดการเลือกตั้งได้
การแสดงพลังจำนวนมากวันนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์นอกจากไม่มีความชอบธรรมทางกฎหมายแล้วยังไม่มีความชอบธรรมทาง การเมือง เนื่องจากประชาชนไม่ยอมรับ ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยื้อเก้าอี้ไว้ทั้งที่อยู่ไปก็ทำอะไรไม่ได้ และเป็นรัฐบาลล้มเหลวแล้ว เรื่องนี้จะยุติได้ เมื่อข้าราชการโดยเฉพาะตำรวจ ทหารออกมาประกาศตัวแสดงจุดยืนให้ชัดเจน ความเป็นรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จบทันที ซึ่งจะต้องจบและปิดเกมเอา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกไปให้ได้ภายใน เม.ย.นี้ โดยต้องนัดระดมพลครั้งใหญ่อีก 1-2 หน และขอให้เตรียมตัวไว้
'สุเทพ' กร้าว!ต่อสู้ครั้งสุดท้าย ไม่ชัยชนะ ไม่เลิก
จนเเล้วจนรอดในวันที่ 9 พฤษภาคม 2557 นายสุเทพและแกนนำ กปปส.ได้เปิดฉากการประท้วงอีกครั้งที่เรียกว่า 'การต่อสู้ครั้งสุดท้าย' หากไม่ได้รับชัยชนะจะไม่เลิกชุมนุมเด็ดขาด โดยเข้าควบคุมพื้นที่สื่อมวลชนที่เหล่าบรรดาพลังมวลมหาประชาชนมองว่าเป็น กระบอกเสียงให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และโน้มน้าวไม่ให้รายงานโฆษณาชวนเชื่อนิยมรัฐบาลอีกต่อไป เพราะเชื่อว่าเป็นการบิดเบือนความจริง โดยสถานการณ์แลดูจะเข้าสู่สภาวะสุกงอม
กระทั่งเมื่อกลางดึกของวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก ประกาศกฎอัยการศึกในรูปของประกาศของกองทัพบก เนื่องจากผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่ายยังไม่มีทีท่าจะยุติการชุมนุมพร้อมอาจเกิด เหตุปะทะก่อให้เกิดการสูญเสียกันได้ทุกเมื่อ ขณะที่การพยายามจัดเจรจาหาทางออกประเทศทั้งจาก ฝ่ายรัฐบาล-เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์-กปปส.-นปช.-กกต. ที่กองทัพพยายามจัดให้มีขึ้น กลับไม่มีความคืบหน้าหนทางดูช่างตีบตัน เนื่องจากท่าทีไม่มีใครยอมใคร
นำมาซึ่งคำพูดประวัติศาสตร์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น "ไม่ยอมลาออกใช่ไหม จากวินาทีนี้เป็นต้นไปผมขอควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินการปกครองประเทศ"
ซึ่งก็ทำให้เหตุการณ์ระอุทางการเมืองเป็นอันต้องถึงตอนจบจนได้ ในช่วงเย็นของวันที่ 22 พ.ค.2557 พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศผ่านทางโทรทัศน์ทุกช่องว่า กองทัพภายใต้การนำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สามารถควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินได้โดยสมบูรณ์
ท้ายที่สุดเเล้วฝั่ง กปปส.ในภายใต้การขับเคลื่อนของ นายสุเทพ ก็ได้ประกาศคว้าชัยชนะบนเวทีสวนลุมพินี ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ที่ สวนโมกขพลาราม จากวันนั้นจนวันนี้ 'พระสุเทพ' ก็หันหลังไม่เข้ายุ่งกับการเมืองอีก ตามวาจาที่เคยให้ไว้ในข้างต้น...
เเต่กลับกันสมัยภายใต้ชื่อ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือ 'ลุงกำนัน' ซึ่งมีดีกรีทางการเมืองไม่เป็นสองรองใคร เป็นถึงอดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีต ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เเละอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็น ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมยืนหยัดดำรงตำแหน่งแกนนำสำคัญในการออกมาร่วมชุมนุมกัน อย่างล้นหลามของพลังมวลมหาประชาชน เพื่อเป้าหมายโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์เมื่อปี56 ต่อปี 57
ย้อนไปเมื่อปลายปี 2556 สถานการณ์ทางการเมืองไทยเริ่มอยู่ในสภาวะตึงเครียด ส.ส.พรรคเพื่อไทยนำโดยนายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม 'ฉบับเหมาเข่ง' เข้าสภาฯ ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านและการชุมนุมคัดค้านครั้งใหญ่ แม้ว่าภายหลังร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวจะเงียบหายไป แต่องศาความร้อนแรงของอุณหภูมิทางการเมืองกลับไม่ได้ลดหลั่นตามลงไปด้วย จากกระแสพลังมวลชนที่ถูกจุดติดทำให้มีการ 'ยกระดับ' ข้อเรียกร้องไปเรื่อยๆ จากถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ไปเป็นบังคับให้รัฐบาลลาออก จนเมื่อรัฐบาลประกาศยุบสภา ก็มีการผลักดันข้อเรียกร้องไปเป็น 'ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง' ซึ่ง คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่ สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เป็นผู้สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว และใช้มาตรการต่างๆ เพื่อขัดขวางไม่ให้เกิดการเลือกตั้ง รวมทั้งการนำกลยุทธ์ปิดล้อมหน่วยเลือกตั้งเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้มีสิทธิ์ เลือกตั้งเข้าไปใช้สิทธิ์
เวลาต่อมา การปิดกั้นการใช้สิทธิเเละเสรีภาพโดยมวลชนที่เชื่อมั่นในตัว "ลุงกำนัน" ภายใต้แนวทาง "ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง" ก็กลายเป็นก้าวแรกที่นำประเทศเข้าไปสู่หนทางที่มองไม่เห็นทางออก จนทำให้กองทัพที่นำโดย 'บิ๊กตู่' พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถ อ้าง ป็นสาเหตุในการทำรัฐประหาร ประกาศใช้กฎอัยการศึกเป็นครั้งที่ 8 ของไทยในรอบครบ 100 ปี
กปปส.ทะลักร่วมเคลื่อนขบวนใหญ่ "สุเทพประกาศิต ไม่ให้เปิดสภาฯ หากไม่ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" มวลมหาประชาชนสมทบตลอดทาง
โดยบรรยากาศชุมนุมใหญ่ของกลุ่ม กปปส. คึกคักตั้งช่วงเช้า 29 มี.ค.57 โดยมวลชนที่ปักหลักอยู่ในเวทีสวนลุมพินีลุกขึ้นมาเตรียมตัวออกเดินขบวนไปยัง ลานพระบรมรูปทรงม้า ตามที่นายสุเทพ นัดหมายไว้และมีมวลชนทยอยสมทบที่เวทีต่อเนื่อง ซึ่งหากจำกันได้ลุงกำนันประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯ มาแล้วหลายครั้งก่อนหน้า จากนั้นมีขบวนดุริยางค์นำนายสุเทพพร้อมกับนางศรีสกุล พร้อมพันธุ์ ภริยาและแกนนำ กปปส.ทุกคน เดินทางถึงลานพิธีบริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้า อยู่หัว รัชกาลที่ 6 เพื่อกราบสักการะเป็นสิริมงคล ก่อนเคลื่อนขบวน โดยมีการจัดริ้วขบวน 6 ขบวน ดังนี้ ขบวนแรกตั้งขบวน ข้างลานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 ขบวนที่ 2 ตั้งบริเวณประตู 3 ตรงข้ามตึกอื้อจือเหลียง ขบวนที่ 3 ตั้งบริเวณประตู 2 ถนนวิทยุ ขบวนที่ 4 ตั้งบริเวณประตู 1 ตรงข้าม สน.ลุมพินี ขบวนที่ 5 บริเวณประตู 8 ถนนสารสิน และขบวนสุดท้ายตั้งบริเวณประตู 7 ถนนสารสิน แต่ละขบวนชูป้ายปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
ขณะที่นายสุเทพเดินอยู่ช่วงขบวนที่ 3 และ 4 ท่ามกลางวงล้อมการ์ดดูแลความปลอดภัยเข้มงวด และในขบวนมีรถเสบียงคอยแจกน้ำและข้าวกล่องให้ผู้ชุมนุม รวมทั้งรถพยาบาลคอยดูเเลให้บริการแจกยาดม จนกระทั่งเวลา 09.30 น. ขบวนเริ่มเคลื่อนตามเส้นทางถนนราชดำริอย่างล่าช้า เนื่องจากมีประชาชนเข้าร่วมขบวนจำนวนมากทำให้ขบวนยาวเป็นกิโลเมตร ขณะที่ตามเส้นทางมีประชาชนออกมาร่วมสมทบกับขบวน รวมทั้งเป่านกหวีดต้อนรับและบริจาคเงินให้นายสุเทพ จากนั้นขบวนเลี้ยวซ้ายแยกราชประสงค์มุ่งหน้าแยกปทุมวัน ก่อนเลี้ยวขวาเข้าถนนพญาไท และเลี้ยวซ้ายเข้าถนนศรีอยุธยา ผ่านหน้าวัดเบญจมบพิตรฯ ถึงลานพระบรมรูปทรงม้าเวลา 12.50 น.
ประกาศลั่นเจตนารมณ์ไล่ระบอบทักษิณ เปิดสภาฯ ไม่ได้จนกว่าปฏิรูปเสร็จ
ต่อมาเมื่อเวลา 13.40 น. ทุกขบวนเคลื่อนถึงลานพระบรมรูปทรงม้า จากนั้นนายสุเทพนำมวลชนสักการะรัชกาลที่ 5 เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย โดยถวายพวงมาลัยและเครื่องสักการะ หลังเสร็จพิธีนายสุเทพประกาศเจตนารมณ์ว่า มวลมหาประชาชนมีความประสงค์จะประกาศเจตนารมณ์ต่อเบื้องหน้าพระพักตร์พระปิยม หาราช พระผู้ทรงบุกเบิกการปฏิรูปประเทศไทย โดยมีใจความว่า ''จะร่วมกัน ขจัดระบอบทักษิณให้หมดสิ้นจากแผ่นดินสยาม และจะร่วมกันปฏิรูปประเทศไทยเปลี่ยนแปลงประเทศให้มีการปกครองโดยระบอบ ประชาธิปไตยสมบูรณ์แท้จริง โดยจะทำทุกอย่างด้วยหลักสันติ สงบ อหิงสา ขอพระบารมีแห่งองค์พระพุทธเจ้าหลวง ทรงปกปักรักษาประชาชนชาวไทยและขอพระบารมีโปรดประทานพรให้การต่อสู้ประสบความ สำเร็จ ชัยชนะเป็นของประชาชน''
จากนั้นนายสุเทพและผู้ชุมนุมร่วมกันตะโกนไชโย 3 ครั้ง ภายหลังเสร็จพิธี นายสุเทพเดินนำผู้ชุมนุม ไปยังอาคารรัฐสภา เพื่อกราบสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ซึ่งนายสุเทพ นำแกนนำ กปปส. วางพานพุ่ม และปราศรัยตอนหนึ่งว่า วันนี้ได้เข้าสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 โดยขอตั้งปณิธานว่า จะต่อสู้ให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย อย่างแท้จริง และสภาฯ แห่งนี้จะไม่สามารถเปิดได้จนกว่าพวกเราจะปฏิรูปประเทศสำเร็จ กระทั่งเวลา 14.30 น. ขบวน ได้เดินทางออกจากรัฐสภาเพื่อกลับไปยังสวนลุมพินี
กปปส.ใต้คึกคักไม่ขาด ภาคเหนือ–อีสานไร้เหตุป่วน
ด้านความเคลื่อนไหวของกลุ่ม กปปส. ในต่างจังหวัดเป็นไปอย่างคึกคัก โดยที่ จ.สงขลา กลุ่ม กปปส. รวมตัวหน้าสวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่ ก่อนเคลื่อนขบวนไปตามถนนสายต่างๆ ในตัวเมือง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ขณะที่ จ.ภูเก็ต กลุ่ม กปปส. รวมตัวที่หน้าศาลากลางจังหวัด ก่อนเคลื่อนตามถนนสายภายในตัวเมืองพร้อมตะโกนขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ส่วนกลุ่ม กปปส. สุราษฎร์ธานี เดินขบวนไปตามถนนสายต่างๆ ในเขตเทศบาลก่อนไปปักหลักชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัด นอกจากนี้ ที่ จ.ตรัง กลุ่ม กปปส. รวมตัวที่ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 ก่อนเคลื่อนขบวนรอบตลาดสดเทศบาลนครตรัง ส่วน จ.พัทลุง กลุ่ม กปปส. เดินขบวนไปตามถนนในเขตเทศบาลเมือง เพื่อขับไล่นายกรัฐมนตรี และเรียกร้องให้ปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง รวมทั้ง จ.นครศรีธรรมราช กลุ่ม กปปส. เคลื่อนขบวนไปตามถนนราชดำเนิน มุ่งหน้าไปวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เข้าสู่ย่านการค้าและชุมชน เพื่อรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนเข้าร่วมขับไล่รัฐบาล เฉกเดียวกับที่ จ.พิษณุโลก กปปส. นำโดยนางแน่งน้อย อัศวกิตติกร และนายทวี ทองถัน รวมตัวกันบริเวณสวนชมน่านเฉลิมพระเกียรติ ก่อนเคลื่อนขบวนไปหน้าศาลากลางจังหวัด เพื่อเชิญชวนประชาชนให้ออกมาร่วมกันปฏิรูปประเทศและขับไล่นายกรัฐมนตรี
ส่วนที่ จ.ตาก กปปส.เดินขบวนรอบเขตเทศบาลนครแม่สอด ตะโกนขับไล่นายกรัฐมนตรีให้ออกจากตำแหน่ง ก่อนเคลื่อนขบวนไปปักหลักหน้าโรงเรียนสรรพวิทยาคม สำหรับ จ.นครราชสีมา กลุ่ม กปปส. นำโดยทันตแพทย์ศุภผล เอี่ยมเมธาวี รวมตัวกันที่สวนภูมิรักษ์ อ.เมืองนครราชสีมา แล้วเคลื่อนขบวนไปสมทบกับมวลชนที่เวทีลานคนเมือง อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) ก่อนเคลื่อนขบวนตามถนนสายต่างๆ และกลับไปปักหลักชุมนุมที่ลานคนเมืองอีกครั้ง โดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น
'พุทธะอิสระ' ตะลุยม็อบ กวป. พร้อมบุกกองสลากฯ ทวงค่าข้าว
ช่วงสายในวันเดียวกัน หลวงปู่ พุทธะอิสระ แกนนำ กปปส. เวทีศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ นำมวลชนเคลื่อนขบวนด้วยรถบัส รถอีแต๊กและรถจักรยานยนต์ เดินทางไปขับไล่กลุ่มสื่อวิทยุชุมชนเพื่อประชาชน (กวป.) ที่ชุมนุมด้านหน้าสำนักงาน ป.ป.ช. ถนนสนามบินน้ำ ทำให้กลุ่ม กวป. ที่มีมวลชนน้อยกว่าแตกกระเจิงหนีไปคนละทิศละทาง ซึ่งผู้ชุมนุม กปปส. ช่วยกันรื้อเต็นท์และเก็บข้าวของของกลุ่ม กวป. ออกจากหน้าสำนักงาน ป.ป.ช.
ทั้งนี้ มีการค้นพบประทัดยักษ์ หนังสติ๊ก และมีดปลายแหลมจำนวนหนึ่ง ซุกซ่อนอยู่ในลังกระดาษ จึงส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ในช่วงดังกล่าวเกิดเหตุชุลมุนขึ้นระหว่างผู้ชุมนุม กปปส. กับกลุ่มหน้ากากขาว ที่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นกลุ่ม กวป.เข้ามาป่วน จนเกิดการชกต่อยกันขึ้นแต่ยุติลงได้ ขณะเดียวกันการ์ด กปปส. ได้ล็อกตัวผู้ร่วมชุมนุม กวป. 2 คน พร้อมมีดปลายแหลม ก่อนให้หลวงปู่พุทธะอิสระสอบปากคำ จากนั้นได้ส่งตัวให้ พ.ต.อ.สมพล วงศ์ศรีสุนทร ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี รับตัวไปดำเนินคดี ภายหลัง หลวงปู่พุทธะอิสระปราศรัยว่า เดินทางมาเพื่อทวงเงินค่าข้าวที่ขายให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ไม่สามารถเข้าไปได้เพราะเป็นวันหยุดราชการ หลวงปู่พุทธะอิสระจึงนำมวลชนเคลื่อนขบวนไปสมทบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. จากนั้นสั่งให้ผู้ชุมนุม กปปส. ใช้รถแทรกเตอร์ไถรื้อแนวบังเกอร์ของกลุ่ม กวป. ที่นำมาปิดกั้นถนนหน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อเปิดทางให้รถของกลุ่ม กปปส. ผ่านไปได้สะดวก
'นายกฯปู' ผวาม็อบเผ่นไปเชียงใหม่ ด้านแดงเหนือถกเตรียมชุมนุมใหญ่
สำหรับความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น มีรายงานข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช้เวลาวันหยุดพักผ่อนกับครอบครัวที่บ้าน จ.เชียงใหม่ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 28 มี.ค. ซึ่งคนใกล้ชิดเปิดเผยว่า การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องตัดสินไป จ.เชียงใหม่ กลางดึก เนื่องจากไม่ไว้ใจสถานการณ์การเมือง ส่วนการรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบบ้านพัก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ภายในซอยโยธินพัฒนา 3 ยังมีการตั้งจุดตรวจความมั่นคงบริเวณทางเข้าและกลางซอย ขณะที่ช่วงเช้ามีรถยนต์ส่วนบุคคล สีบรอนซ์ทอง 1 คัน ได้ขับผ่านเปิดกระจกรถพร้อมชูธงชาติและเป่านกหวีดเสียงดัง แต่ไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรง ขณะที่ ที่โรงแรมลาพาโลมา จ.พิษณุโลก นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ร่วมประชุมกับแกนนำ นปช. 17 จังหวัดภาคเหนือ อาทิ นายประแสง มงคลศิริ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ และนายบุญเลิศ เรืองทิม หรือ “เลิศ ไม้เก่า” แกนนำ กลุ่ม “นักรบพระองค์ดำ” เพื่อเตรียมความพร้อมเคลื่อนไหวใหญ่วันที่ 5 เม.ย. ท่ามกลางการดูแลความปลอดภัยของการ์ดอย่างเข้มงวด และไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าใกล้ชิดรวมทั้งไม่ให้เข้าไปฟังการประชุม
'เทือก' โวคนนับล้านร่วมม็อบ ลั่น ปิดเกม เม.ย.จ่อระดมพลอีก
ต่อมาเวลา 21.25 น. ที่เวทีปราศรัย กปปส. สวนลุมพินี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ขึ้นเวทีปราศรัยว่า วันนี้ (29 มี.ค.) เป็นประวัติศาสตร์ที่ได้จารึกถึงความรักสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของผู้ รักชาติแผ่นดินที่ได้เสียสละออกมาแสดงพลังร่วมกันด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ คือ รักประเทศไทย รักชาติ รักแผ่นดิน และรักระบอบประชาธิปไตย เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ในการต่อสู้ของประชาชนจะต้องมีการกล่าวขวัญไปอีกนาน ประวัติศาสตร์นี้พี่น้องร่วมกันเขียนขึ้นมา เชื่อว่า เหตุการณ์วันนี้พวกเราจะได้เอาไปพูดคุยกับญาติมิตร ลูกหลานว่า ให้รับรู้สิ่งที่เราทำมาเป็นการต่อสู้ยิ่งใหญ่และสมควรแก่การยกย่อง เพราะเป็นการต่อสู้ของมวลมหาประชาชนนับล้านคน ที่ต่อสู้สันติ สงบ อหิงสา ไม่มีที่ไหนในโลกที่คนนับล้านคนมาต่อสู้แล้วไม่ได้สร้างความเสียหายให้ใคร หรือกับสังคม
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า วันนี้ตนเป็นตัวแทนประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนและเด็ดขาดว่า ไม่ยอมให้มีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้อีกเป็นอันขาด นอกจากจะปฏิรูปประเทศให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งต้องการสื่อไปถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และฝ่าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง เพื่อบอกให้รู้ว่า เราไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งจนกว่าจะปฏิรูปการเลือกตั้งเสร็จ หากฝ่ายผู้มีอำนาจสงสัยว่า ทำได้หรือไม่นั้น ขอให้ทราบว่า ถ้าดื้อดึงให้มีการเลือกตั้งอีก แม้แต่ในกรุงเทพฯ ก็ดำเนินการเลือกตั้งไม่ได้ รวมทั้งจังหวัดต่างๆ หลายสิบจังหวัด จะไม่ยอมให้จัดการเลือกตั้งได้
การแสดงพลังจำนวนมากวันนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์นอกจากไม่มีความชอบธรรมทางกฎหมายแล้วยังไม่มีความชอบธรรมทาง การเมือง เนื่องจากประชาชนไม่ยอมรับ ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยื้อเก้าอี้ไว้ทั้งที่อยู่ไปก็ทำอะไรไม่ได้ และเป็นรัฐบาลล้มเหลวแล้ว เรื่องนี้จะยุติได้ เมื่อข้าราชการโดยเฉพาะตำรวจ ทหารออกมาประกาศตัวแสดงจุดยืนให้ชัดเจน ความเป็นรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จบทันที ซึ่งจะต้องจบและปิดเกมเอา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกไปให้ได้ภายใน เม.ย.นี้ โดยต้องนัดระดมพลครั้งใหญ่อีก 1-2 หน และขอให้เตรียมตัวไว้
'สุเทพ' กร้าว!ต่อสู้ครั้งสุดท้าย ไม่ชัยชนะ ไม่เลิก
จนเเล้วจนรอดในวันที่ 9 พฤษภาคม 2557 นายสุเทพและแกนนำ กปปส.ได้เปิดฉากการประท้วงอีกครั้งที่เรียกว่า 'การต่อสู้ครั้งสุดท้าย' หากไม่ได้รับชัยชนะจะไม่เลิกชุมนุมเด็ดขาด โดยเข้าควบคุมพื้นที่สื่อมวลชนที่เหล่าบรรดาพลังมวลมหาประชาชนมองว่าเป็น กระบอกเสียงให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และโน้มน้าวไม่ให้รายงานโฆษณาชวนเชื่อนิยมรัฐบาลอีกต่อไป เพราะเชื่อว่าเป็นการบิดเบือนความจริง โดยสถานการณ์แลดูจะเข้าสู่สภาวะสุกงอม
กระทั่งเมื่อกลางดึกของวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก ประกาศกฎอัยการศึกในรูปของประกาศของกองทัพบก เนื่องจากผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่ายยังไม่มีทีท่าจะยุติการชุมนุมพร้อมอาจเกิด เหตุปะทะก่อให้เกิดการสูญเสียกันได้ทุกเมื่อ ขณะที่การพยายามจัดเจรจาหาทางออกประเทศทั้งจาก ฝ่ายรัฐบาล-เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์-กปปส.-นปช.-กกต. ที่กองทัพพยายามจัดให้มีขึ้น กลับไม่มีความคืบหน้าหนทางดูช่างตีบตัน เนื่องจากท่าทีไม่มีใครยอมใคร
นำมาซึ่งคำพูดประวัติศาสตร์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น "ไม่ยอมลาออกใช่ไหม จากวินาทีนี้เป็นต้นไปผมขอควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินการปกครองประเทศ"
ซึ่งก็ทำให้เหตุการณ์ระอุทางการเมืองเป็นอันต้องถึงตอนจบจนได้ ในช่วงเย็นของวันที่ 22 พ.ค.2557 พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศผ่านทางโทรทัศน์ทุกช่องว่า กองทัพภายใต้การนำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สามารถควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินได้โดยสมบูรณ์
ท้ายที่สุดเเล้วฝั่ง กปปส.ในภายใต้การขับเคลื่อนของ นายสุเทพ ก็ได้ประกาศคว้าชัยชนะบนเวทีสวนลุมพินี ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ที่ สวนโมกขพลาราม จากวันนั้นจนวันนี้ 'พระสุเทพ' ก็หันหลังไม่เข้ายุ่งกับการเมืองอีก ตามวาจาที่เคยให้ไว้ในข้างต้น...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น