ตำนานรักและผูกพัน ของ ลี กวน ยู กับ อาจู
เปิดโลกวันอาทิตย์ : ตำนานรักและผูกพัน ของ ลี กวน ยู กับ อาจู : โดย...บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์
แม้จะถูกสื่อตะวันตกตราหน้าว่าเป็นเผด็จการประชาธิปไตย แต่ลี กวน ยู
รัฐบุรุษโลก กลับเป็นเผด็จการที่ชาวสิงคโปร์และโลกรักและเคารพยกย่อง
กระทั่งสามารถอยู่ในวงการเมืองจวบจนนาทีสุดท้ายของชีวิต
เทียบกับอดีตเผด็จการอย่างอดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์
มาร์กอสแห่งแดนตากาล็อกฟิลิปปินส์
และอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โตแห่งแดนอิเหนาอินโดนีเซีย
ผู้เป็นเผด็จการร่วมรุ่นร่วมยุคสมัย
แต่กลับถูกประชาชนรวมพลังอัปเปหิด้วยข้อหาเดียวกันนั่นก็คือทุจริต
คอร์รัปชั่นยักยอกเงินของแผ่นดินไปเป็นสมบัติส่วนตัวและใช้อำนาจหน้าที่ใน
ทางมิชอบ กระทั่งติดอันดับ 10 ยอดผู้นำสุดโกงกินมากที่สุดในโลก
ยิ่งไปกว่านั้น
หลังบ้านของมาร์กอสและซูฮาร์โตต่างก็ขึ้นชื่อลือเลื่องเช่นกันในเรื่องการ
รับเงินสินบน กระทั่งนางอิเมลดา มาร์กอส ได้รับฉายาว่า "มาดามผีเสื้อเหล็ก"
และ"มาดาม 3 เปอร์เซ็นต์ " ส่วนนางสตี ฮาร์ตินาห์ หรือ "มาดามเทียน"
คู่ชีวิตของซูฮาร์โต ก็ได้รับสมญาว่า "มาดาม 10 เปอร์เซ็นต์" จากการหัก 10
เปอร์เซ็นต์เป็นค่าวิ่งเต้นให้บริวารว่านเครือของซูฮาร์โต
แต่เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับครอบครัวของลี
กวนยูและนางกัว เก็ก จู หรือ "อาจู" ภรรยาคู่ชีวิต
ซึ่งไม่เคยมีข้อครหาแม้แต่น้อยว่าทุจริตคอร์รัปชั่นหรือรับสินบนใดๆ
ยิ่งกว่านั้นมาดามลี ซึ่งไม่ได้เป็นโฉมสะคราญแบบนางอิเมลดา มาร์กอส
ที่เคยสวมมงกุฎรองนางงามฟิลิปปินส์มาก่อน หากแต่มากปัญญาแบบนางอุยซี
ภรรยาของขงเบ้ง ก็ยินดีทำตัวเป็นช้างเท้าหลัง
ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหลายทั้งปวงของลี กวน ยู อย่างเงียบๆ
คอยให้กำลังใจจนสามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง
ลีถึงกับออกปากยกย่องว่าเธอเป็นยิ่งกว่าภรรยา
เพราะยังเป็นเพื่อนแท้และที่ปรึกษาผู้รู้ใจที่ตัวเองไว้วางใจมากที่สุด
สมกับเป็นคู่สร้างคู่สมกันมาแต่ปางบรรพ์
ในฐานะที่ต่างเป็นรักแรกและรักเดียวในกันและกัน
และเป็นเงาของกันและกันเรื่อยมา แม้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมานานถึง 63 ปี
เหตุนี้ จึงไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อย เมื่อ "อาจู"
เสียชีวิตอย่างสงบเมื่อเย็นวันที่ 2 ตุลาคม 2553 ลี กวน ยู
จึงสารภาพว่านับตั้งแต่ไม่มีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากอยู่เคียงข้าง
ชีวิตของตัวเองก็เปลี่ยนไป ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว
และนับแต่นั้น รัฐบุรุษโลกลี
ก็หมดกำลังใจที่จะอยู่ต่อไปตามลำพัง
นอนป่วยกระเสาะกระแสะอยู่แต่บนเตียงและต้องใช้เครื่องช่วยชีวิตเรื่อยมาจน
กระทั่งถึงแก่อสัญกรรม
แม้ภายนอกจะเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง เด็ดขาด
กระทั่งสามารถนำเกาะสิงคโปร์ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติแม้แต่น้อยให้กลายเป็น
เกาะมหัศจรรย์และเป็นศูนย์กลางธุรกิจใหญ่แห่งเอเชีย
แต่ในเรื่องของความรักแล้ว ลี กวน ยู
กลับเป็นคนรักและสามีที่สุดแสนอ่อนโยน รักเดียวใจเดียว และให้ความสำคัญกับ
"อาจู" เสมอมา
ในฐานะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่สามารถเอาชนะเขาได้ในเรื่องการเรียน
ตั้งแต่เด็ก กัว เก็ก จู
ได้ชื่อว่าเป็นคนเรียนเก่งมากๆ สอบได้ที่ 1 ระหว่างการสอบชั้น ม.6
เคมบริดจ์ทั่วมาลายา และขณะมีอายุ 16 ปี
ก็เป็นนักเรียนหญิงเพียงคนเดียวที่เข้าไปเรียนพิเศษที่วิทยาลัยราฟเฟิลส์
ซึ่งเป็นโรงเรียนชายชื่อดังเพื่อเตรียมตัวสอบชิงทุนควีนส์ สกอลาร์ชิป
แล้วได้พบกับลีเป็นครั้งแรก
ความรักที่แม้แต่สวรรค์ยังอิจฉาของทั้ง 2
คนปรากฏอยู่ในหนังสือบันทึกอัตชีวประวัติของลี กวน ยู ที่เผยแพร่เมื่อปี
2542 ซึ่งเล่าหมดเปลือกว่าได้พบกันครั้งแรกปี 2487
ตอนที่เธอเป็นนักเรียนหญิงเพียงคนเดียวของวิทยาลัยชื่อดังที่เป็นแหล่งรวม
ของสุดยอดนักเรียน 150 คน แต่ในครั้งนั้น นอกจากจะไม่ใช่รักแรกพบแล้ว
ทั้ง 2
คนยังเหมือนกับคู่กัดที่ต้องแข่งกันเพื่อชิงความเป็นที่ 1
ในการสอบวิชาต่างๆ ปรากฏว่าสาวน้อยกัว เก็ก จู
ซึ่งมีอายุมากกว่าหนุ่มน้อยลี กวน ยู 2 ปีสามารถเอาชนะได้ที่ 1
ในวิชาภาษาอังกฤษและเศรษฐศาสตร์ ส่วนหนุ่มน้อยลีได้ที่ 2
หลังจากเลิกคิ้วและตีสีหน้าใส่กัน มิตรภาพกลับทวีความแนบแน่นมากขึ้น
ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีความหวาดระแวง ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง
สุดท้ายก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความรักในอีก 2 ปีให้หลัง
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง พ่อของลี กวน
ยูกัดฟันส่งแฮรี ลี และเดนนิส
น้องชายไปเรียนต่อด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ในหนังสืออัตชีวประวัติ ลีสารภาพว่า "เรายังเด็กและกำลังมีความรัก
จึงได้แต่กังวลห่วงใยและเฝ้าหวังว่ากัว เก็กจูจะสามารถสอบชิงทุนควีนส์
สกอลาร์ชิป
ได้เพื่อจะได้มาเรียนต่อที่เคมบริดจ์ด้วยกัน....ผมถามเธอว่าจะคอยผมกลับมาใน
อีก 3 ปีให้หลังหรือไม่ อาจูถามผมว่ารู้หรือเปล่าว่าเธอแก่กว่าผม 2 ปีครึ่ง
ผมตอบว่ารู้และได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบแล้ว
ผมเองก็เป็นเด็กโตเกินวัย เพื่อนๆ ล้วนแต่มีอายุมากกว่า ยิ่งกว่านั้น
ผมก็ต้องการใครสักคนที่เท่าเทียมกัน
ไม่ใช่ใครที่ไม่รู้จักโตและต้องการให้คนคอยปกป้องดูแลตลอดไป
ผมเองก็ไม่ต้องการมองหาหญิงอื่นที่ทัดเทียมกันและสนใจอะไรๆ เหมือนกัน
เธอตอบว่าเธอจะรอผม" แม้ว่าพ่อแม่ของเธอจะไม่ยินดีพิจารณาแฮรี
ลีให้เป็นว่าที่ลูกเขยก็ตาม
หลังสงคราม
อาจูได้กลับมาเรียนต่อที่ราฟเฟิลส์และสอบได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
รวมทั้งสอบชิงทุนควีนส์ สกอลาร์ชิปด้วย
ซึ่งทุนนี้จะให้เด็กเรียนดีชาวสิงคโปร์ปีละทุนเท่านั้น
นั่นหมายความว่าถ้าเธอสอบชิงทุนนี้ไม่ได้ เธอก็ต้องเฝ้ารอคอยลีถึง 3 ปี
ซึ่งต่างก็ไม่ปรารถนาเช่นนั้น
สาวหัวดีและเรียนเก่งอย่างอาจูจึงฮึดสู้และก็ไม่ทำให้ผิดหวัง
เธอสอบชิงทุนควีนส์ สกอลาร์ชิปได้ดังหวัง
แต่ก็เผชิญกับอุปสรรคไม่คาดฝัน
เนื่องจากทางการไม่สามารถหาที่ว่างในมหาวิทยาลัยให้ได้
จึงแจ้งให้เธอรออีกหนึ่งปี แต่หนุ่มน้อยแฮรี ลี กลับไม่สามารถทำใจรอได้
จึงได้วิ่งเต้นผ่านคณบดี
กระทั่งยอมรับให้เธอมาเรียนที่เคมบริดจ์ได้ในเทอมถัดมา
สองหนุ่มสาวจึงได้มาพบหน้ากันใหม่ในกรุงลอนดอน
หลังจากนั้นไม่นาน ลี ก็ขอแต่งงานเงียบๆ
อาจูตอบตกลงโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าขัดต่อประเพณีก็ตาม
ทั้ง 2 จึงได้แอบแต่งงานกันที่เมืองสแตรทฟอร์ด ริมแม่น้ำเอวอน
อันเป็นเมืองบ้านเกิดของเชคสเปียร์เมื่อปี 2490
หนุ่มน้อยลีได้ซื้อแหวนทองคำขาวให้
ซึ่งอาจูได้ร้อยกับสายสร้อยสวมคล้องคอไว้ตลอดมา
สองหนุ่มสาวได้ปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้ใครรู้แม้กระทั่งพ่อแม่ของทั้ง 2
ฝ่ายซึ่งตราบจนเสียชีวิตก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้
เพราะกลัวว่าทางบ้านและเจ้าของทุนจะไม่ยอมรับและอาจยึดทุนคืน
และโลกเพิ่งรู้ความลับนี้จากหนังสืออัตชีวประวัติของลี กวน ยู
ซึ่งเล่าว่าเมื่อเดินทางกลับสิงคโปร์ ทั้ง 2
คนได้ทำพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2493
"ผมไม่คิดว่าเป็นข้อแก้ตัวแต่อย่างใด ที่ต้องแต่งงาน 2
ครั้งกับผู้หญิงคนเดียวกัน"
หลังจากแต่งงานแล้ว
อาจูทำหน้าที่เป็นแม่บ้านและทำงานเป็นทนายความในสำนักทนายความลี แอนด์ ลี
ที่ลีและเดนนิส น้องชาย ร่วมกันตั้งขึ้นมา
ก่อนที่ลีจะวางมือจากสำนักทนายความแห่งนี้เพื่อไปเล่นการเมือง
ปล่อยให้อาจูและเดนนิสช่วยกันบริหาร
กระทั่งกลายเป็นสำนักทนายความที่ใหญ่ที่สุด
และแม้จะมีทายาทคนแรกด้วยกันนั่นคือลี เซียน
หลงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2495
เธอก็ช่วยงานของลีโดยเป็นคนตรวจร่างถ้อยแถลงต่างๆ ด้วยภาษาที่ง่าย
แจ่มแจ้งและตรงประเด็น ทำให้ลี ประสบความสำเร็จในงานทนายความ
อาจูยังช่วยสอนเคล็ดลับการเขียนภาษาอังกฤษให้กระชับและใช้ประโยคที่มีประธาน
เป็นทำกริยานั้นโดยตรง ที่สำคัญคือเป็นคนช่วยร่างธรรมนูญของพรรคกิจประชาชน
(พีเอพี) ที่ลี กวน ยูตั้งมากับมือ
และยังเป็นคนช่วยแก้สำนวนภาษาให้ถูกต้อง
ในหนังสืออัตชีวประวัติ ลี กวน ยู ได้ยกย่องเธอ 2
เรื่อง เรื่องแรกก็คือการมีวิสัยทัศน์ยาวไกล
มองออกล่วงหน้าว่าการผนึกรวมสิงคโปร์เป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐมลายู
ท้ายที่สุดก็จะล้มเหลว
เนื่องจากความแตกต่างของวิถีชีวิตและทัศนะการเมืองของผู้นำพรรคอัมโน
พรรครัฐบาลมาเลเซีย
ปรากฏว่าเธอทายถูกเพราะท้ายที่สุดมาเลเซียก็อัปเปหิสิงคโปร์เมื่อปี 2508
ทำให้ลี กวน ยู
ฮึดสู้ตั้งเป็นประเทศและตัวเองก็เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกนานติดต่อกันถึง 31
ปี
ในช่วงผ่องถ่ายอำนาจนั้น "อาจู"
ยังมีส่วนช่วยเหลือลีในการร่างกฎหมายแยกประเทศให้ครอบคลุมเรื่องที่มาเลเซีย
จะต้องรับประกันว่า จะต้องจ่ายน้ำประปาให้สิงคโปร์ตลอดไป
และลีได้ใช้สัญญาข้อนี้มาอ้างทุกครั้งที่ผู้นำมาเลเซียขู่จะตัดน้ำประปา
ช่วงที่เกิดวิกฤติครั้งใหญ่
อาจูคอยเป็นกำลังใจและมีส่วนช่วยสถาปนาประเทศสิงคโปร์มากับมือ
"ตอนที่เกิดวิกฤติไม่ว่าจะครั้งไหนๆ
เราจะไม่ยอมปล่อยให้อีกคนหนึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว อ้างว้างตามลำพัง
ตรงกันข้าม เราจะเผชิญกับวิกฤติด้วยกัน ร่วมทุกข์ ร่วมสุข
แบ่งปันความรู้สึกกลัวและความหวังด้วยกัน ในช่วงนั้นๆ
เรายิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้น ยิ่งเวลาผ่านไป
ความผูกพันของเราก็ยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้นตามลำดับ"
มาดามลีก็มักจะเล่าตำนานชีวิตให้คนรุ่นหลังฟัง
พร้อมกับสารภาพว่า แม้เธอจะเป็นนักบุกเบิกการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีรุ่นแรก
แต่เธอก็ยินดีทำหน้าที่ภรรยาที่ดี
เดินทางไปกับเขาเหมือนเป็นเงาตามตัวโดยเฉพาะการเดินทางไปกระชับสัมพันธไมตรี
ทางการทูตและการพบปะกับรัฐมนตรีจากต่างประเทศ "ฉันจะเดินตามหลังสามี 2
ก้าวเสมอ"
แต่สิ่งที่เธออุทิศให้ตลอดก็คือการดูแลครอบครัว
ทุกเที่ยงเธอจะกลับบ้านทำอาหารกลางวันให้ลูกทั้ง 3 คน
ยามว่างก็คอยจัดทำประวัติและเก็บแฟ้มรูปของลูกๆ ทุกคนจนกระทั่งโต
ยามว่างก็จะชอบทำสวน เลี้ยงนก พาลูกๆ และหลานๆ ไปเดินเล่น
อาจู เป็นนักกฎหมายอาชีพนานกว่า 40 ปี
กระทั่งเริ่มป่วยด้วยโรคหัวใจเมื่อปี 2546 ลี กวน ยู
ซึ่งแม้จะเติบโตในสังคมชายเป็นใหญ่ที่ผู้ชายไม่ต้องทำอะไรเองแม้กระทั่งตอก
ไข่ ก็สลัดความเป็นใหญ่ทิ้งทันที
และปรับวิถีชีวิตของตัวเองใหม่เพื่อจะได้ดูแลภรรยาคู่ยากอย่างใกล้ชิด
เมื่อตาข้างซ้ายของเธอเริ่มมืดมัว
ลีก็จะนั่งตรงข้างซ้ายของเธอระหว่างอาหาร คอยให้กำลังใจเธอให้ค่อยๆ
กินอาหาร และเมื่อเธอทำอาหารหก เขาก็จะค่อยๆ เก็บเศษอาหารทิ้ง
นอกจากนี้ก็คอยกระตุ้นให้อาจูว่ายน้ำทุกวันและจะเป็นคนวัดความดันให้วันละ
หลายครั้ง แม้ว่าลี เหว่ย หลิง
ลูกสาวคนกลางซึ่งเป็นหมอจะขอให้แพทย์คนหนึ่งติดอุปกรณ์วัดความดันสวมที่ข้อ
มือเหมือนนาฬิกาก็ตาม แต่อาจูเคยให้สัมภาษณ์ว่า
"ฉันอยากให้สามีของฉันเป็นวัดความดันให้มากกว่า"
โรคหัวใจที่กำเริบเป็นครั้งที่ 2 เมื่อปี 2551
ทำให้อาจูต้องนอนแบ่บอยู่บนเตียง พูดไม่ได้
แต่ยังมีความรู้สึกและรับรู้คำพูดของคนอื่นๆ ทุกวันหลังเลิกงาน
ลีก็จะมานั่งข้างเตียงเล่าให้เธอฟังว่าทำอะไรบ้าง
และทุกคืนก็จะอ่านบทกวีที่อาจูชื่นชอบให้ฟังนาน 2
ชั่วโมงโดยไม่มีขาดแม้แต่คืนเดียว
และเนื่องจากหนังสือรวมบทกวีนั้นแสนจะหนาและหนัก
ลีจึงต้องวางหนังสือบนขาตั้งดนตรี ปรากฏว่าคืนหนึ่งเขาเผลองีบหลับ
กระทั่งหน้ากระแทกขาตั้งเป็นรอยช้ำ แต่ก็ไม่ทำให้ลีถอดใจแต่อย่างใด
ยังคงอ่านบทกวีให้ภรรยาคู่ยากฟังทุกคืน
และแม้จะประกาศว่าเลิกนับถือทุกศาสนาแล้วก็ตาม แต่ลี กวน ยู
กลับสวดมนต์ภาวนาให้อาจูมีอาการดีขึ้น ว่ากันว่าลี
เครียดกับอาการป่วยของเธอยิ่งกว่าคราวที่ประสบมรสุมทางการเมืองเสียอีก
หลังจากนอนนิ่งบนเตียงนาน 2 ปี "อาจู"
ก็จากไปอย่างสงบด้วยวัย 89 ปี ลีค่อยๆ
เดินไปที่โลงศพเพื่อนำดอกกุหลาบแดงไปวางบนร่าง
พลางใช้มือขวาลูบใบหน้าของเธอ ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากถึง 2 ครั้ง ร่ำลา
"อาจู" เป็นครั้งสุดท้าย
แสดงออกถึงความรักมั่นที่ไม่มีวันแปรเปลี่ยนจวบจนวันตาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น