Uses of Tense: การใช้ tenses
Tense คือ การใช้กริยาให้ถูกต้องตามกาลเวลา (หลักการเบื้องต้นต้องทำความเข้าใจ)
1.ต้องเรียนรู้เรื่องกริยา 3 ช่องให้ดี ภาษาอังกฤษเรียกว่า Irregular Verbs เช่น eat /ate/ eaten
2.ต้องเรียนรู้เรื่อง Regular Verbs คือกริยาที่ต้องเติม –Ed ข้างท้าย เช่น work/worked/worked
3.ต้องเรียนรู้การทำกริยาให้เป็น -Ing ลงท้าย เช่น say เป็น saying หรือ lie เป็น lying (การโกหก)
4.ต้องเรียนรู้การทำกริยาที่ต้องตามหลังประธานเอกพจน์ว่าจะต้องเติม –S หรือ –Es /หรือ doและ does
ทั้งสี่ข้อดังกล่าวข้างต้นมีผลต่อการเรียนรู้เรื่อง Tense เป็นอย่างยิ่ง
1. The present simple ใช้เมื่อ ดูรูปแบบ (ประธาน + กริยาช่องหนึ่ง)
1.ใช้พูดกับสิ่งที่เป็นจริงหรือสิ่งถาวร เช่น Insects have six legs. แมลงมีหกขา
What temperature does water boil at? น้ำเดือดที่อุณหภูมิเท่าไร?
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเสมอ เช่น She leaves for school at 8 o’clock. เธอไปเรียนเวลาแปดโมงเช้า
The sun rises in the morning. พระอาทิตย์ขึ้นตอนเข้า
She is a difficult child. เธอเป็นเด็กที่สอนยาก
2. The present progressive ใช้เมื่อ ดูรูปแบบ (ประธาน+verb to be+กริยาing)
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังกระทำ/เกิดขึ้น เช่น What are you reading? คุณกำลังอ่านอะไร?
She is not listening to me. เธอไม่ฟังฉัน
2. ใช้พูดกับสิ่งที่ยังไม่จบสิ้น เช่น She is writing a novel. เธอกำลังเขียนนิยายอยู่
3. ประโยคที่มีคำว่า Always อยู่ เช่น He is always asking silly questions. เขาชอบถามคำถามโง่ๆเสมอ
4. เมื่อกำลังจะเกิดเหตุการณ์ เช่น It is going to rain. ฝนจะตก
3. The present perfect ใช้เมื่อ ดูรูปแบบ (ประธาน+has/ have+กริยาช่องสาม)
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดและยังไม่จบ เช่น He still has not visited her. เขายังไม่มาเยี่ยมเธอเลย
The train has been late three times this weeks. อาทิตย์นี้รถไฟมาไม่ตรงเวลาสามหนแล้ว
2.ใช้กับเหตุกาณ์ในอดีตที่ไม่เจาะจงเวลา เช่น We have bought a new computer.เราซื้อcom.ใหม่
He has lost his computer. เครื่องcom.เขาหายไป
3.ใช้กับเหตุการณ์ต่อเนื่องจากอดีตถึงปัจจุบันโดยมากในประโยคจะมี for และ since เช่น
I have worked here since 1988. ผมทำงานที่นี่มาตั้งแต่ปี 1988
She has not bought any new clothes for years. เธอไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่มานับปีแล้ว
4.ในประโยคที่มีคำว่า just, ever, already, และ yet คำใดคำหนึ่ง เช่น
I have just arrived. ผมพึ่งมาถึง Have you ever been there before? คุณเคยไปที่นั้นไหม?
He has already packed his suitcase. เขาพึ่งเก็บกระเป๋าเสร็จแล้ว
Haven’t you finished yet? คุณเสร็จแล้วยัง?
5. The present perfect progressive ใช้เมื่อ ดู รูปแบบ (ประธาน+has/ have + been+กริยาing)
ใช้กับเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นการต่อเนื่อง/เน้นความรู้สึกเสมอ เช่น
I have been working since 8 o’ clock. ฉันทำงานมาตั้งแต่แปดโมงแล้ว/ตอนนี้ก็กำลังทำอยู่
My hands are dirty because I have been gardening. มือผมสกปรกเพราะผมทำสวน/ตอนนี้ก็ทำอยู่
6. The past simple ใช้เมื่อ ดูรูปแบบ (ประธาน +กริยาช่องสอง)
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น He got up, paid the bill and left. เขาลุกขึ้นจ่ายเงินและจากไป
Did you speak to Amy yesterday? เมื่อวานคุณได้พูดกับ Amy ไหม?
2. ใช้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเสมอๆในอดีตแต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เช่น I often played tennis with her last month.ฉันเล่นเทนนิสกับเธอเดือนที่แล้ว
Did she really work there for ten years? เธอทำงานที่นั้นสิบปีจริงหรือ?
7. The past progressive ใช้เมื่อ ดูรูปแบบ (ประธาน+WASหรือWere+กริยาing)
1. ใช้พูดถึงการกระทำที่เกิดขึ้นในเวลาเฉพาะในอดีตเช่น Was it raining when you left home?
ฝนกำลังตกอยู่ไหมเมื่อคุณออกจากบ้านช่วงนั้น?
2. ใช้กับเหตุการณ์ในอดีตสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น/เกิดก่อนและเกิดตามมา เช่น
The doorbell rang while they were having breakfast. กระดิ่งดังขึ้นขณะเขากำลังกินข้าว
8. The past perfect ใช้เมื่อ ดูรูปแบบ (ประธาน+had+verbช่องสาม)
ใช้กับเหตุการณ์สองเหตุการณ์ในอดีต เหตุการณ์หนึ่งเกิดก่อนอีกเหตุการณ์หนึ่ง เช่น
When I got to the station, the train had left. เมื่อผมไปถึงสถานนี รถไฟก็ออกไปแล้ว
9. The past perfect progressive ใช้เมื่อ ดูรูปแบบ (ประธาน+had+been+กริยาing)
ใช้กับเหตุการณ์สองเหตุกาณ์ในอดีตเน้นความต่อเนื่องและความรู้สึกและจบสิ้นไปแล้ว เช่น
She had not been living there very long when she met Mark. เธอมิได้อยู่ที่นั้นนานนักเมื่อตอนเธอ
พบกับMark
My hands were dirty because I had been gardening. มือผมเลอะเพราะผมกำลังทำงานอยู่(ตอนที่
พูดนี้ไม่ได้ทำแล้ว)
10. The future simple ใช้เมื่อ ดูรูปแบบ (ประธาน+ will/shall+กริยาช่องหนึ่ง)
1.เมื่อจะพูดถึงอนาคต เช่น Her mother will be ninety next week. คุณแม่เธอจะอายุครบ90ปีอาทิตย์หน้า
2.เมื่อตัดสินใจที่จะทำแล้ว เช่น I will have the salad, please. ผมจะกินสลัด ครับ
3.เมื่อขอร้องหรือให้คำมั่น เช่น We will be back early, do not worry. เราจะรีบกลับอย่ากังวลใจ
11. The future progressive ใช้เมื่อ ดูรูปแบบ (ประธาน+will/shall+be+กริยาing)
เหตุการณ์จะเกิดดำเนินอยู่ชั่วขณะหนึ่งในอนาคต เช่น How many nights you will be staying?
คุณจะข้างอยู่กี่คืน (ตอนนี้ยังไม่ได้ข้างเลย) Will you be flying back or going by train?
คุณจะขึ้นเครื่องกลับหรือนั่งรถไฟกลับ (ตอนนี้ยังไม่ได้ทำเลย)
12. The future perfect progressive ใช้เมื่อ ดูรูปแบบ (ประธาน+have/has+been+กริยาing)
ช่วงระยะเวลาที่จะอยู่มาถึงในอนาคตกาล เช่น She will have been working here for a year in
October. เดือนตุลาคมนี้เธอก็จะทำงานครบหนึ่งปีแล้ว (เธอทำงานมาตลอด)
Conditionals การสมมุติ หรือประโยคที่เรียกว่า if clause หรือประโยคเงื่อนไขมีข้อแม้
ประโยค if clause นี้เราใช้ในการพูด/เขียนเพื่อแสดงออกถึง ความที่จะเป็นไปได้ (possibilities)
First conditional เงื่อนไขข้อหนึ่ง
Used to talk about the consequence of a possible: ใช้เพื่อที่จะบอกถึงผลลัพธ์ที่จะเป็นไปค่อนข้างแน่นอนมากๆ
รูปประโยคเป็นดังนี้ if clause present tense; main clause เป็น future tense เช่น
If I write my essay this afternoon, I will have time to go out tonight. ถ้าผมเขียนเรียงความตอนเที่ยงนี้ ผมจะมีเวลาไปเที่ยวคืนนี้ (ถ้าผมทำผมก็จะมีเวลาแต่ตอนนี้ยังไม่ได้ทำแต่โอกาสมีมากที่ผมจะทำ)
Second conditional เงื่อนไขข้อสอง
Used to talk about the consequences of a hypothetical action: ใช้เพื่อบอกถึงผลลัพธ์ที่อาจจะเป็นไปได้จากการตั้งสมมุติไว้ รูปประโยคเป็นดังนี้ if clause past tense; main clause conditional tense(would+กริยาช่องที่ 1)เช่น If I wrote my essay this afternoon, I would have time to go out to night. ถ้าผมเขียนเรียงความตอนเที่ยงนี้ ผมจะมีเวลาออกไปเที่ยวคืนนี้ (ความจริงแล้วผมคงไม่เขียนหรอก/คือไม่อยากทำมากกว่า )
Third conditional เงื่อนไขข้อสาม
Used to talk about the possible consequence of an action that did not happen: ใช้เพื่อบอกถึงความเป็นไปได้ถ้าหากการกระทำนั้นๆได้เกิดขึ้นแต่ความจริงแล้วไม่ได้เกิดขึ้นเลย รูปประโยคเป็นดังนี้ if clause past perfect; main clause conditional perfect tense (would have+ กริยาช่อง 3) เช่น If I had written my essay this afternoon, I would have had time to go out tonight. ถ้าผมได้เขียนเรียงความเมื่อตอนเที่ยง ผมจะมีเวลาออกไปเที่ยวคืนนี้(แต่ความจริงแล้วผมไม่ได้เขียนเลยจึงไม่ได้มีเวลาออกไปเที่ยว)
Zero conditional: ประโยค if clause ที่ใช้กับความเป็นจริง (to express certainty) ตัวอย่างเช่น
If you mix blue and red, you get purple. (Present simple in both parts of the sentence)
If I asked her to come with us, she always said no. (Past simple in both parts of the sentence)
การใช้ Passive sentence:
ปกตินั้น ประโยคจะต้องประกอบด้วยประธาน + กริยา+ กรรม เราเรียกว่า ประโยค Active Sentence
เช่น My mother loves me. They killed the tiger.
แต่ประโยคที่เอากรรมมาเป็นประธานนั้นเราเรียกประโยคนั้นว่า Passive Sentence รูปแบบจะเป็น
กรรม+verb to be+กริยาช่องสาม+by+นามหรือสรรพนาม เช่น ประโยคข้างต้นเขียนใหม่เป็น
I was loved by my mother. The tiger was killed by them.
การเปลี่ยนประโยคจาก Active sentence เป็น Passive sentence ให้คง Tense เดิมไว้ เช่น
My mother will question them. เป็น They will be questioned by my mother.
การใช้เครื่องหมาย หรือ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Punctuation เรื่องนี้สำคัญมากในการเขียนบทความหรือเรียงความ เรามาเรียนรู้บางคำ
1. Full stop (.) ใช้เมื่อเขียนจบประโยค เช่น We love our parents.
2. Comma (,) ใช้แยกคำ เช่น tea, coffee, milk
ใช้เขียนแยกประโยคเล็กในประโยคใหญ่ เช่น We had been looking forward to our holiday all year, but unfortunately it rained every day.
ใช้แยกคำที่เป็นคำอุธาน หรือ วลีต่างๆ เช่น Oh, so that is where it was. หรือ By the way, did you hear about Sue’s car? หรือ As it happens, however, I never saw her again.
ใช้ในประโยค Question tag เช่น It is quite expensive, isn’t it?
3. Semicolon(;) ใช้ในประโยคที่เราต้องการให้มีประโยค comma(,) อยู่แล้ว เช่น She was determined to succeed whatever the cost; she would achieve her aim, whoever might suffer on the way เธอต้องการให้สำเร็จไม่ว่าจะวิธีการใด เธออยากบรรลุจุดประสงค์ของเธอ ใครจะเดือดร้อนก็ช่าง
4. Colon (:) ใช้อธิบายรายการ/หรือความหมาย เช่น The garden had been neglected for a long time: it was overgrown and full of weeds.
5. Apostrophe (’) แสดงการเป็นเจ้าของ the waitress’s apron ผ้ากันเปลื้อนของคนใช้
6. Hyphen(-) ใช้ในคำcompound words เช่น fork-lift truck, mother-to-be คนที่กำลังจะเป็นแม่คน
7. Dash (--) ใช้อธิบายสรุปความคำข้างหน้า/ประโยคข้างหน้า เช่น Men were shouting, women were screaming, children were crying—it was chaos. หรือ You have admitted that you lied
to me—how can I trust you again?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น