วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ในวัยหนุ่มสาวของใครหลายคนมีฝันบันเจิดอยากเดินทางท่องเที่ยวไปให้ทั่วประเทศหรือทั้งโลกตามแต่ปัจจัยจะอำนวย เผื่อว่าในวัยเกษียณจะได้หยุดนิ่งอยู่กับลูกหลาน สุขสงบกับต้นไม้ใบหญ้า กิจกรรมผจญภัยตื้นเต้นหรือการเที่ยวแบบค่ำไหนนอนนั้นคงต้องพับเก็บไว้ เพราะสังขารในวัยใกล้ชราคงไม่ต้อนรับ
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ถ้าไม่เริ่มต้น”นิยามนี้ลงตัวพอดี จารึก ฉินังกูร ผู้ชายวัย 62 เลือกใช้ชีวิตในวัยเกษียณด้วยการปั่นจักรยานทั่วแดนไทย ขณะเดียวได้เป็นตั้งตัวตีในการนำพาผู้คนในวัยเกษียณปั่นจักรยานเลาะตามแนวตะเข็บชายแดนของประเทศ
คุณลุงจารึกเป็นอดีตวิศวกรที่ร่วมก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน มุ่งตามล่าฝันให้กับตัวเองในวัยเด็ก ที่อยากเดินทางท่องเที่ยวแบบฝรั่งแบกเป้ ตระเวนไปยังหมู่บ้านชนบท พร้อมกับผสานกับความตั้งใจว่า อยากจะเป็นคนแก่ที่แข็งแรงให้จงได้
“คิดเมื่อตอนอายุ 50 อยากเป็นคน 60ที่แข็งแรง เราเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เป็นเด็กบ้านนอกตอน 10 ขวบเคยเห็นฝรั่งแบกเป้มาเที่ยวเมืองไทย ทุกคนในหมู่บ้านวิ่งหนี แต่เราไปพูดภาษาอังกฤษกับเขาได้ วันรุ่งขึ้นครูเรียกชมต่อหน้าเพื่อน จึงมีความฝันว่าอยากเดินทางแบบนี้บ้าง  แต่เรื่องราวเหล่านี้ต้องเก็บอยู่ข้างในเพราะรูปแบบของคนรุ่นเก่าพ่อแม่สอนหนักหนาต้องเรียนหนังสือ จบมาต้องทำงาน ดูแลพ่อแม่ดูแลครอบครัว รู้สึกว่าตอนนั้นเหมือนมียักษ์อยู่ในตัวเรา แต่มาถึงวันนี้เราปล่อยยักษ์ออกมาแล้ว” คุณลุงจารึกเล่า
จักรยานเหมือนหญิงสาวที่ผู้ชายชื่อจารึกตกหลุมรักชนิดโงหัวไม่ขึ้น เขาเขายอมทิ้งเงินเดือนนับแสน และแบ่งปันเวลาจากครอบครัวมาอยู่กับบนอานสองล้อ นานนับ 10 ปีแล้ว ปั่นมาแล้วทั้งในและนอกประเทศ ลาว เวียดนาม จีน เดินทางโดยสองล้อไปทั่ว แบบตัวคนเดียว  ได้พบความสงบชีวิตไม่ต่างจากการได้เข้าถึงธรรม นั้นเพราะเมื่อครั้งทำงานวิธีสลายเครียดของวิศวกรจารึกก็คือพึ่งธรรมะ หากแต่ก็ยังพบว่าวัดยังไม่ถูกจริตเท่าจักรยาน

“ขี่จักรยานคนเดียวมันสงบ ไปโพสต์ในออนไลน์ว่า พิงธรรม์ หมายถึงการพึ่งพาธรรมชาติ พิงธรรมชาติ”
ความคิดที่ว่าปั่นจักรยานคนเดียวแล้วสงบต้องเปลี่ยนอีกเมื่อ 3-4 ปีก่อนหน้านี้ เมื่อลุงจารึก มีโอกาสร่วมจัดทัวร์มืออาชีพรวบคนแก่มาปั่น 65 วันรอบเมืองไทย ได้พบว่ามีอายุมากหลายคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองมียักษ์อยู่ข้างใน จึงก่อเกิดให้ชักนำรวมกลุ่มโดยผ่านโลกออนไลน์ เชิญชวนคนวัยเกษียณมาปั่นจักรยานเที่ยวกัน ไปโพสต์ข้อความในเว็บไซต์ THAIM TB .com
จักรยานกลุ่มวัยเกษียณ เริ่มครั้งแรกเมื่อปีปลายปี 2553ยึดเส้นทางแนวตะเข็บชายแดน ปั่นกันข้ามปีเริ่มต้นในเดือนธันวาคมไปสิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2554 รวม 64 วันรวมระยะทาง 4,784 กม. โดยมีผู้ร่วมอุดมการณ์ร่วม100 คน นั้นเพราะรูปแบบการปั่นของเหล่าสว.ไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว  อยากปั่นกี่วันก็ตามใจ มี หรือจะมาร่วมสมทบยังทางผ่านจังหวัดนั้น ตกค่ำมารวมกลุ่มกางเต็นท์นอนทำกับข้าวกิน ตื่นเช้ามาใครจะตื่นกี่โมงออกกี่โมงก็แล้วแต่ ตกเย็นเจอกันตรงจุดพักค้างคืน
กลุ่มจักรยานผู้เฒ่า เลือกพักตามวัด  อำเภอ อบต. โดยมีการประสานงานกันไว้ล่วงหน้าว่าจะขออนุญาตกางเต็นท์  ส่วนเส้นทางนั้นยึดแนวเส้นสงบเป็นที่ตั้ง  ผ่านหมู่บ้านชนบทไม่มีแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อเสียง แม้จะมีชื่อเท่ติดบนหน้าอกเสื้อของแต่ละคนว่า “เก็บทุกดอยสอยทุกภู คนเกษียณ ปั่นมาแล้ว 64 วัน ”
“ภูหลวง เป็นหนึ่งเส้นทางที่ตั้งใจมา เพราะมียอดภูสวยงาม ครั้งที่แล้วมาได้รับการต้อนรับดีจากทางอำเภอ” ลุงจารึกบอกเล่าในค่ำคืนกลางเดือนตุลาคมตอนที่มาพักค้างคืนยังหอประชุมของอ.ภูหลวง จ.เลย ท่ามกลางต้อนรับอย่างอบอุ่น ของนายอำเภอภูหลวง ชาญชัย ศรศรีวิชัย
ปีนี้กลุ่มจักรยานวัยเกษียณเริ่มเดินทางออกจากรุงเทพไปตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา และคงจะสิ้นสุดการเดินทางก่อนปีใหม่นี้ หลังจากพบว่าในครั้งแรกการปั่นข้ามปี มีสมาชิกที่เหนียวแน่นอยู่กับกลุ่มแค่ 7-8 คน บางคนต้องกลับไปฉลองปีใหม่กับครอบครัว  เส้นทางการปั่นเริ่มต้นจากกรุงเทพไปภาคตะวันออกสู่แดนอีสานในจ.ติดแม่น้ำโขง จากนั้นขึ้นเหนือไปสิ้นสุดการเดินทางจ.แม่ฮ่องสอน เน้นเก็บทุกดอยสอยทุกภูตามธงที่ตั้งไว้
มวลหมู่สมาชิกจักรยานวัยเกษียณมีคนหลากหลายอาชีพมาร่วมตัวกันไม่ว่าจะเป็นอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนในจ.อุบลราชธานี ข้าราชการครูเออร์ลี่รีไทร์ในจ.อุตดิถต์ ขอนแก่น อดีตวิศวกรเคมี และเจ้าของธุรกิจ และอื่นๆ แต่ผู้มีอายุมากสุด 74 ปี เป็นอดีตนายตำรวจ ร.ต.ต.ประนอม ต่ายแจ้ง “ลุงนอม” ปั่นจักรยานรอนแรมจาก อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคัรีขันธ์ มาสมทบกับคณะที่กรุงเทพครั้งแรกเพียงลำพัง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของลุงนอมที่ได้ปั่นจักรยานทั่วไทย
“ปีนี่มั่นใจว่าจะปั่นจนจบ เพราะปีที่แล้วเคยมาแล้วและซ้อมขี่ทุกวัน ระยะทางเป็นร้อยโล”
นอกจากเหล่าชายหนุ่มที่อายุเหลือน้อย ผู้หญิงที่อยู่ขั้นเกือบสูงวัยอย่างครูมัลลิกา เจริญวงศ์ และ จินตนา คำขันตี สองครูเออร์ลี่รีไทร์ ที่รวมอายุเข้าไปก็ร้อยกว่าแล้ว แต่หน้าตาหมือนหญิงสาวในวัย 30 ปลายๆ พิสูจน์ให้เห็นว่าจักรยานคืนความสาวได้ถ้าคุณรักที่จะปั่นและปั่น
พี่จินตนาเล่าว่า จักรยานเปลี่ยนชีวิตเธอจากผู้หญิงอ้วนฉุเพราะหล้า แต่เมื่อลองมาปั่นจักรยานเมื่อปี 2546 เธอหยุดดื่มได้ถือเป็นข้ออ้างกับกลุ่มเพื่อนได้อย่างน่าฟัง ในปีที่แล้วจึงตัดสินใจเออร์รี่แล้วมาลงสนามปั่นจักรยานทั่วไทยครั้งแรก หลังจากได้รับการชักชวนจากลุงจารึกแม้ว่าปีที่ผ่านมาต้องเข้ารับการผ่าตัดมะเร็งเต้านม ก็ตาม
“ดูในเว็บไซต์มีแต่คนแก่คิดว่าเราน่าจะไปกับเขาได้ถ้าไปกับคนหนุ่มเขาคงทิ้งเราเพราะเราเป็นผู้หญิง  ผู้หญิงจะอยู่ตรงกลางห่างกันแค่ฝ่ามือ คนอยู่ข้างหน้าจะถามเราตลอดว่าไหวไหม ระดับ25-26 จะดึงกันไป ทำให้เบาขา ระยะทางมีขึ้นมีลงเขา เวลาลงเขาจะไม่เหนื่อยเลย เหมือนกับเราพักไปในตัว ขี่ไปเรื่อยๆบางทีครึ่งวันไม่พักเลยหยุดเฉพาะกินข้าว” ครูจินตนาบอกเล่าเสน่ห์ของการปั่นจักรยาน
ด้าน ครูมัลลิกา ถ่ายทอดความรู้สึกที่มีจักรยานออกมาบ้างว่า เพราะคนในครอบครัวมีพันธุกรรมที่ป่วยหลายคนไม่ว่าพี่ชายจะเป็นอัมพฤกษ์ คุณแม่เป็นมะเร็ง รวมทั้งรู้สึกว่าร่างกายตัวเองป่วยง่าย จึงลุกขึ้นมามาปั่นจักรยานในวัยที่ลูกสาว 3 คนเรียนจบและใกล้จบแล้ว ถือเป็นช่วงเวลาปลดระวางของแม่ใบเลี้ยงออกเสียทีสังขารกับสองล้อๆไม่เคยเป็นเส้นขนานกัน ถ้ามีใจที่กล้าพอ.
พรประไพ เสือเขียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น