วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

ยอดคน ยอดดี ยอดตัวอย่าง

หนึ่งในล้าน! “สุวรรณฉัตร พรหมชาติ” แท็กซี่หัวใจน่ากราบ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
23 กันยายน 2558 10:17 น.
       
อย่าบิ่นบ้า มัวแต่อ้าง ช่างหัวมัน
       ถ้าเรื่องนั้น เกี่ยวกับเพื่อน มนุษย์หนา
       ต้องเอื้อเฟื้อ ปฏิบัติ เต็มอัตรา
       โดยถือว่า เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย
       การช่วยเพื่อน เหมือนช่วย ตัวเราเอง
       เมื่อจิตเพ่ง เล็งช่วย ทวยสหาย
       ย่อมลดความ เห็นแก่ตัว ลงมากมาย
       ทุกทุกราย อย่าเขวี้ยงขว้าง ช่างหัวมัน
      
       
ข้างต้นคือบางส่วนบทกลอนของท่านพุทธทาสภิกขุ ที่บุคคลที่เรากำลังจะพูดถึงได้นำเอามาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวันเสมอมา
หนึ่งในล้าน! “สุวรรณฉัตร พรหมชาติ” แท็กซี่หัวใจน่ากราบ
       
        ถ้าพูดถึงอาชีพขับแท็กซี่ หลายคนคงเบือนหน้าหนี เพราะปัจจุบันอาชีพดังกล่าวเป็นอาชีพที่มีหลายคนวิพากษ์ วิจารณ์ในมุมลบไปต่างๆ นานา ว่าไม่รับคนบ้างล่ะ หลอกต่างชาติบ้างล่ะ ขับไม่ดีบ้างล่ะ แต่ทุกสังคม ทุกอาชีพย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดีคลุกเคล้าผสมรวมกัน ดังนั้น จึงไม่อาจจะเหมารวมได้ทั้งหมด เช่นเดียวกับเขาคนนี้เพราะเขาผู้นี้คือผู้สร้างมุมมองและภาพลักษณ์ที่ดี ใหม่ๆ ให้กับวงการแท็กซี่อย่างหาข้อครหาไม่ได้
      
       โชเฟอร์แท็กซี่ที่ได้รับฉายาจากคน ที่เคยใช้บริการมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น แท็กซี่หัวใจหล่อ แท็กซี่อุ้มบุญ แท็กซี่มหาชน แท็กซี่หัวใจทองคำ แท็กซี่น้ำใจงาม แท็กซี่จิตสาธารณะ แท็กซี่ฮีโร่แล้วแต่คนจะเรียกกันไป
      
       “เดี่ยว สุวรรณฉัตร พรหมชาติ” โชเฟอร์แท็กซี่ที่มาพร้อมรถคู่ใจสีเขียวเหลืองติดสติ้กเกอร์อย่างชัดเจนรอบคันรถเต็มไปหมดว่า “พระสงฆ์ สามเณร แม่ชี นิมนต์นั่งฟรีครับ” “คนพิการ คนตาบอดนั่งฟรีครับ” “เชิญครับ ไปทุกที่” พร้อมเบอร์โทรหมายเลข “087-3315421”
      
       กว่ายี่สิบปีที่ ขับแท็กซี่บริการฟรี ไม่เพียงแต่เฉพาะกับผู้ที่ปฏิบัติธรรมเพียงเท่านั้น เพราะเขายังทำหน้าที่รับส่งผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ นอนติดเตียง นั่งรถเข็น เขาพร้อมอุ้มให้ฟรีทั้งไปและกลับจนทำให้เกิดความประทับอกประทับใจ บอกต่อกันปากต่อปาก ใช้บริการกันเป็นประจำจนเสมือนญาติมิตร ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยหากสิ่งที่เขาทำนั้นจะทำให้เขามีมิตรสหายเต็มไปหมดทั่ว ทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
      
       แม้ว่าหลายคนจะมอง ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นดูจะลำบากเกินกำลังไปหรือเปล่า แต่สิ่งหนึ่งที่เขาได้รับกลับมาแน่นอนว่าคือความสุขและความอิ่มเอมใจ และสิ่งนี้คงจะเป็นคำตอบยืนยันความคิดของเขาคนนี้ได้ดีว่า
      
       “รอ ให้รวยก่อนชาตินี้ก็ไม่ได้ทำ สำหรับผมต่อให้ผมสะดุดตายหรือเจออุบัติเหตุตายพรุ่งนี้ ผมก็ไม่เสียดายชีวิตเพราะผมได้สะสมแต้ม สะสมบุญแล้ว สุดท้าย ท้ายสุดก็เอาไปไม่ได้สักบาทและไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ต่อให้เรามีมากน้อยแค่ไหนก็หาความสุขไม่เจอหรอก ที่ผมทำอยู่มันเป็นการแบ่งปันน้ำใจให้กับสังคม”
หนึ่งในล้าน! “สุวรรณฉัตร พรหมชาติ” แท็กซี่หัวใจน่ากราบ
       
        • ขอ ย้อนถามถึงจุดเริ่มต้นก่อนค่ะ เห็นว่าคุณนิมนต์ให้บริการพระสงฆ์ สามเณร แม่ชี นั่งฟรีตั้งแต่เริ่มแรกที่ขับเลย ตรงนี้ไม่ทราบว่ามีแรงบันดาลใจอย่างไรคะ
      
       ต้องบอก ก่อนว่าผมทำตรงนี้มาได้ 20 ปีแล้วครับ ผมเริ่มจากการช่วยเหลือพระสงฆ์ สามเณร แม่ชี มาก่อน อันนี้ต้องขอย้อนว่า ที่เราตัดสินใจมาทำตรงนี้เพราะมันเกิดมาจากตอนที่บวชเณรช่วงประถมศึกษาปีที่ 3 ของการปิดภาคฤดูร้อน ด้วยความที่บ้านเรายากจน แม่มีอาชีพรับจ้างทั่วไป พ่อไม่มี ซึ่งเราอยู่ข้างนอกก็รู้แล้วว่าลำบาก มันไปไม่รอด พอบวชแล้วก็ไม่อยากจะสึก เพราะรู้ว่าสึกมา แม่จะต้องลำบาก
      
       มีอยู่ช่วงหนึ่ง คิดอยากจะเห็นหน้าพ่อ เพราะเกิดมาไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย โดนเพื่อนๆ แถวบ้านล้อเป็นประจำ ซึ่งตรงนี้แม่ก็ไม่บอก ว่าพ่อคือใคร ด้วยความแค้นใจบางอย่าง แต่ผมอยากรู้ว่าพ่อเป็นใครก็เลยนั่งรถสองแถวที่หน้าวัดมะนาวหวานไปที่ตัว เมืองนครศรีธรรมราช ไปเจอลุงท่านหนึ่งถามว่าเราจะไปไหน ผมเลยตอบไปว่าจะไปหาพ่อ ทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่าท่านอยู่ที่ไหน ซึ่งคุณ ลุงแกใจดีมากๆ ผมนั่งรถเขาแล้วเขาไม่เก็บเงินสักบาท แถมยังถวายปัจจัยให้เราด้วยอีก 100 บาท ตอนนั้นผมพูดตามตรงว่ารู้สึกประทับใจและดีใจมากๆ เพราะท่านเป็นพุทธบริษัทที่ดี ให้ความเมตตาต่อสมณะให้เราเดินทางอย่างสะดวกสบาย
      
       ผม มีความรู้สึกเลยว่าหาได้ยากนะโยมแบบนี้ ซึ่งตอนนั้นเวลาที่ผมเข้าโบสถ์ เข้าวิหาร เวลาทำกิจอันศักดิ์สิทธิ์ผมจะภาวนาให้แกอยู่สม่ำเสมอซึ่งตามประสาเณรที่ รู้สึกประทับใจ ผมเลยคิดว่าสักวันหนึ่งถ้าตัวเองมีโอกาส ก็จะทำเหมือนกัน นี่จึงเป็นที่มา ซึ่งทำให้ผมมาขับแท็กซี่นิมนต์ให้พระสงฆ์ สามเณร แม่ชี นั่งฟรี
      
        เป็นเพราะเคยลำบากมาก่อนหรือเปล่าคะถึงอยากที่จะช่วยเหลือคนอื่น
      
       ลำบาก มาก (ตอบเร็ว) เคยกินดินด้วยซ้ำไป ความลำบาก ความยากจนเราเคยเจอมาหมด เราเจ็บป่วย เราไปโรงพยาบาลก็เห็นคนเมตตาเรา เมตตาแม่เรา แม่ผมใส่เสื้อเก่าๆ ใส่ผ้าถุงขาดๆ พยาบาลเห็นก็ซื้อมาให้ ถึงผมจะลำบาก ผมก็ได้รับน้ำใจเสมอมา เราไม่มีเงิน ไม่มีอะไร เด็กคนอื่นอาจจะสุขสบายพร้อมทุกอย่าง แต่เราต้องทำงานตลอด เก็บของขาย ทำมาแทบทุกอย่างที่ฝ่าความลำบากมา บ้านไม่มีไฟฟ้าใช้ ใช้ฟืน ใช้เทียน ใช้ตะเกียงมาโดยตลอด
      
       จากที่ผมตามหาพ่อ กว่าผมจะเจอพ่อก็อายุ 14 ปี พอเจอพ่อ ผมก็เลยตัดสินใจสึกออกมาทำงานก่อสร้างกับพ่อ ทำไปทำมาก็ออกมาทำงานที่โรงงานเจาะยาง ตอนนั้นชีวิตย่ำแย่มากๆ ผมต้องพึ่งยาบ้าด้วย เพื่อที่จะทำให้มีแรงยกลังยาง ตอนนั้นค่าแรงถูกมากๆ วันละ 70 บาทเอง จ้างถูกมาก สิ้นเดือนมา เราไม่เห็นตัวเงินด้วยซ้ำ
      
       พอ เริ่มอายุได้ 15 ปีผมก็อยากจะเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ผมเลยเสี่ยงดวงเพื่อที่จะมาทำงานในกรุงเทพฯ เพราะคิดว่าเป็นเมืองศิวิไลซ์ งานหรือเงินก็น่าจะดีกว่า ตอนที่เดินทางมากรุงเทพฯ เชื่อไหมว่าผมต้องพบกับความลำบากอีกครั้ง เพราะมีคนหลอกให้ผมลงที่จังหวัดชุมพร ให้เราลงเรือเพื่อที่เขาจะได้ค่าหัวคิวจากไต๋เรือ ครั้งนั้นเรียกได้ว่านรกชัดๆ เลย ด้วยความเป็นเด็ก ก็คิดไปว่าเราจะได้เที่ยวทะเลแล้ว แต่ก็ต้องบาดเจ็บโดนเรือหนีบ ตอนนั้นขาเป็นแผลบาดเจ็บเห็นเส้นเอ็น เห็นกระดูกจนคิดว่าตัวเองจะพิการเดินไม่ได้ซะแล้ว ใจเราเลยอยากกลับบ้าน แต่ถึงเราเจ็บยังไง คนที่เขาเอาเงินหัวคิวเราไปแล้วเขาก็กลับบังคับให้เราลงเรือเพื่อไปทำงานอีก เราอยู่บนเรือไม่ได้กินยา ไม่ได้ใส่ยาอะไรเลย น้ำไม่ได้อาบ ข้าวก็กินไม่ลงเพราะเจ็บแผล เป็นการอยู่บนเรือที่ทรมานมาก งานหนักมากๆ ผมเป็นเด็กอยู่คนเดียว โดนรังแก โดนเตะ โดนต่อยผมก็ไม่กล้าสู้ กลัวเขาปล่อยทิ้งทะเล พอเข้าฝั่งกลับมาได้ เอาของขึ้นฝั่งผมก็เลยคิดหนีทั้งๆ ที่เจ็บแผลอยู่ ก็ไปเจอรถสองแถว เราขอเขาขึ้น ซึ่งเขาก็สงสารมาส่งเราที่สถานีรถไฟชุมพร ทั้งๆ ที่รถสองแถวไม่ได้ผ่านตรงนั้นเลย ตอนนั้นผมเลยได้รับน้ำใจอีกครั้งหนึ่ง (ยิ้ม)
      
       พอ ผมมาถึงสถานีรถไฟชุมพร ผมได้เจอ 6-7 คน เหมือนเป็นเทวดาซึ่งมาโปรด ถ้าผมพูดถึงตรงนี้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผมก็จะร้องไห้ทุกครั้ง เพราะผมนอนอยู่ตรงม้าหินอ่อนทั้งวัน รอรถไฟ ไม่มีใครสนใจเราเลย แต่มีคนอีสาน 6-7 คนที่เขามาด้วยกันเป็นกลุ่ม เขาเข้ามาถามเราแล้วเขาก็ซื้อข้าวให้เรากิน ซื้อตั๋วรถไฟมาให้ รวบรวมเงินมาให้เกือบ 300 บาท ตอน นั้นผมซึ้งใจมากๆ กินข้าวไปน้ำตาไหลไป เพราะคนที่เขามาช่วยเหมือนเทวดามาช่วยเหลือเรา มันเป็นการช่วยเหลือโดยคนที่ไม่รู้จัก ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่พี่น้อง แต่เป็นมนุษย์ด้วยกันที่เขาเอื้อมมือมาช่วย เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมา 20 ปี แต่มันไม่เคยเลือนไปจากหัวใจผม ผมอยากตอบแทนบุญคุณเขา ผมเลยตอบแทนโดยการมาช่วยเหลือคนอื่นๆ เท่าที่ช่วยได้
      
        ชีวิตคุณเดี่ยวเป็นไปอย่างไรหลังจากนั้น ทำไมสุดท้ายถึงได้มาขับแท็กซี่
      
       ผมเข้ากรุงเทพฯ มา ก่อนหน้าที่ผมจะมาขับแท็กซี่ ผมก็เข้าทำงานเจียระไนพลอย ทำงานโรงงานกระดาษ ทำงานอ็อกเชื่อมก็เจอเรื่องแย่ๆ มาตลอด โดนซ้อมบ้างแหละ โดนเบี้ยวเงินเดือนบ้างแหละ ผมต่อสู้มาตลอด
      
       ผม มาขับแท็กซี่ตั้งแต่อายุ 18 ปี เพราะผมมองว่าการทำงานอย่างนั้นมันไม่มีอนาคต เพราะเราเป็นลูกจ้างเขา ตรงนี้ผมต้องกราบขอบพระคุณเจ้าของอู่ที่เขาเมตตาให้เราขับรถแท็กซี่ แรกๆ ผมไม่ได้เงินนะ อาศัยผู้โดยสารบอกทางเอา ตอนเข้ามาใหม่ๆ เราก็เหมือนเรียนรู้วิชา ตอนหลังๆ ผมเริ่มดึงรถไปขับมือเดียว เงินก็พอเหลือใช้ เหลือส่งให้แม่
หนึ่งในล้าน! “สุวรรณฉัตร พรหมชาติ” แท็กซี่หัวใจน่ากราบ
       
หนึ่งในล้าน! “สุวรรณฉัตร พรหมชาติ” แท็กซี่หัวใจน่ากราบ
       
        • อย่าง ที่บอกว่าอยากช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่ช่วยได้เพราะเราเคยได้รับน้ำใจมาก่อน เลยทำให้เราขับแท็กซี่รับพระสงฆ์ สามเณร แม่ชีฟรี นอกจากนี้เห็นว่าคุณเดี่ยวยังช่วยเหลือ ผู้ป่วย ผู้พิการฟรีอีกด้วย ไม่ทราบเริ่มต้นมาได้อย่างไรคะ
      
       อัน นี้จะมาพร้อมๆ กันกับที่ผมรับพระสงฆ์ สามเณร แม่ชีฟรีเลยครับ ผมทำเพราะมีคุณลุงท่านหนึ่งท่านสะกิดใจผมได้ ท่านเป็นคนพิการนั่งรถเข็น แกคงจะเรียกรถแท็กซี่เป็นสิบคันแล้วแต่ไม่มีใครรับ คนปกติเรียกรถยากอยู่แล้ว แล้วนี่เป็นคนพิการ มีรถเข็นด้วยมันยิ่งยากกว่า พอเจอผม ผมรับแกขึ้นบนรถ แกก็พูดขึ้นมาว่า “คนเดี๋ยวนี้มันใจดำมาก อยากฆ่าตัวตาย” ซึ่งแกพูดซ้ำกัน 2-3 รอบได้ มันเลยสะกิดใจผมเพราะผมนึกไปถึงตอนที่ผมนอนอยู่ที่สถานีรถไฟชุมพรขึ้นมาทันที
      
        ถ้าอยากใช้บริการรถแท็กซี่คุณเดี่ยวต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้างคะ
      
       คุณสมบัติ ที่จะใช้บริการรถผมจะต้องเป็นผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต นอนติดเตียง นั่งรถเข็น พิการตลอดชีวิต พิการด้วยอุบัติเหตุ ให้บริการฟรี พร้อมอุ้มให้ฟรีด้วยทั้งไปและกลับ รอบๆ กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจังหวัดใกล้เคียงฟรีหมด แต่ถ้ายังพอเดินได้ตรงนี้ก็ต้องให้สิทธิกับผู้ป่วย ผู้พิการท่านอื่นๆ ด้วยเพราะว่าเยอะมาก ผมจะรับคนทุกอายุ ทุกเพศ ทุกวัย ใครใช้บริการผมยินดีหมด
      
       ส่วน พระสงฆ์ สามเณร แม่ชี นิมนต์นั่งฟรีนั้น อย่างทุกวันนี้เวลาวิ่งรถไปไหน ผมพบเจอ ผมก็จะนิมนต์ท่านให้นั่งฟรีตลอด ถ้าพบเจอระหว่างทาง หน้าโรงพยาบาลสงฆ์ หน้ามหาวิทยาลัย ตามป้ายรถเมล์หรือขนส่งทั่วๆ ไป ถึงท่านจะเรียกหรือไม่ได้เรียก ขอให้ผมได้เจอ ผมก็จะลงไปนิมนต์บ้าง บีบแตรยกมือไหว้ นิมนต์ท่านขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเป็นพระ สามเณร แม่ชีที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตผมจะไปรับไปส่ง อุ้มถึงวัดเลยครับ ส่วนพระปกติทั่วๆ ไปที่ยังเดินได้ ตรงนี้ต้องบอกก่อนว่าเราไม่สะดวกไป แต่ถ้าเจอระหว่างทาง ผมจะนิมนต์ (ยิ้ม)
      
       • วันหนึ่งเราช่วยทั้งหมดกี่ราย มีวิธีการรับงานอย่างไรบ้าง
      
       วัน หนึ่งผมรับผู้ป่วย ผู้พิการสูงสุด 6 คนในระยะเวลาไม่ซ้ำกัน ทั้งไปและกลับ ผมจะเปิดให้โทรมานัดคิวช่วงเวลา 3 ทุ่ม ถึงเที่ยงคืน แล้วผมจะจดคิวไว้ในสมุดครับ ส่วนพระสงฆ์ สามเณร แม่ชีที่พบเจอทั่วไป ผมเคยรับบางวันสูงสุด 8 เที่ยว บางวัน 4-5 เที่ยว ผมจะเอาตามความสะดวกของเราด้วย
       
        มีเหตุการณ์หรือเคสไหนที่เราไปช่วยแล้วเราประทับใจมากที่สุดไหมคะ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยค่ะ
      
       ทุกเคสเลยครับ (ยิ้ม) เพราะไม่มีเคสไหนที่ผมจะรังเกียจเขาเลยและไม่มีเคสไหนที่ผมไม่ประทับใจเพราะ เรารู้ว่าคนที่เราช่วยเขาซาบซึ้งใจกับเรา ผมจะช่วยเขาในทุกๆ เรื่อง อย่างบางคนผมขับไปรับพาอุ้มขึ้นไปบนสำนักงานเขตทำบัตรประชาชน ทำบัตรผู้สูงวัย ทำบัตรรักษาฟรี ทำบัตรผู้พิการ บางคนผมไปรับอุ้มขึ้นธนาคารไปทำธุรกรรม ผมพาไปทุกที่ ไปทำธุระทุกอย่างที่เขาอยากจะไปไม่เพียงแต่จะรับไปโรงพยาบาลเท่านั้นครับ บางคนพาไปกราบหลุมศพพ่อ หลุมศพแม่ก็มี (ยิ้ม) ซึ่งเราก็อุ้มเขาไปกราบ เพราะมันไม่มีทางให้สำหรับผู้พิการ
      
        ถ้าปกติไม่มีผู้ป่วยหรือผู้พิการโทรมาใช้บริการ คุณเดี่ยวก็วิ่งรถตามปกติเหมือนแท็กซี่ทั่วๆ ไปหรือเปล่าคะ
      
       ทำเหมือนแท็กซี่ ทั่วไปเลยครับ ถ้าวันไหนไม่มีเคสผู้ป่วย ผู้พิการ ผมก็วิ่งรถกดมิเตอร์ตามปกติ แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยต้องการจะใช้บริการแล้วมันจำเป็นจริงๆ ผมก็ไปรับ ณ เดี๋ยวนั้นเลยครับ เพราะอย่างบางคนจะไม่ทราบว่าผมจะเปิดให้โทรมานัดคิวช่วงเวลา 3 ทุ่ม ถึงเที่ยงคืน อย่างบางคนเขาเพิ่งได้เบอร์เรามา ถ้าจังหวะที่ผมว่างพอดีผมก็จะไปรับเลย
หนึ่งในล้าน! “สุวรรณฉัตร พรหมชาติ” แท็กซี่หัวใจน่ากราบ
       
         นอก จากที่คุณเดี่ยวขับแท็กซี่บริการพระสงฆ์ สามเณร แม่ชี คนป่วย คนพิการฟรีแล้ว เห็นว่าคุณเดี่ยวยังเป็นแท็กซี่จิตอาสา ภายใต้การดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ด้วย
      
       ผม ทำอยู่ที่ FM.99.5 ด้วยครับ (ยิ้ม) เป็นโครงการช่วยเหลือสังคม สถานีจราจรช่วยเหลือสังคมภายใต้การดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหา กษัตริย์ ผมเป็นสมาชิกกับโครงการนี้มาหลายปีแล้วครับ ตั้งแต่ที่เขาเปิดสถานีครั้งแรกเลย
      
       FM.99.5 ที่ผมทำอยู่ไม่มีสปอนเซอร์ ไม่มีโฆษณานะครับ ซึ่ง ตรงนี้หน้าที่ของเราก็คือถ้าเราวิ่งรถไปเจอเหตุใดๆ เราก็แจ้งไปที่เบอร์ 1255 อย่างถ้าไปเจอรถเสีย เราก็แจ้งไปที่เบอร์ดังกล่าว แต่ถ้าเราสามารถช่วยได้เราก็จะช่วยลากรถฟรี จัมพ์แบตให้ฟรี หรือถ้าอุบัติเหตุต่างๆ ข่าวสารต่างๆ เราก็มีหน้าที่เป็นกระบอกเสียง ทำหน้าที่เป็นสายข่าวที่ไม่มีเงินเดือน (ยิ้ม)
      
        การที่เราทำแบบนี้ มันส่งผลต่อชีวิตเราอย่างไรบ้าง
      
       มันมีนะที่มีคนมา พูดกับผมว่าเรารวยนักเหรอถึงทำขนาดนี้ ทำได้ยังไง ผมก็ได้แต่ตอบไปว่าไม่หรอก ผมต้องเช่าบ้านเดือนละ 3,000 กว่าบาท ค่าจอดรถต้องจ่ายทุกเดือน เดือนละ 1,200 บาท บางวันก็ไม่มีอะไรกิน เราก็ต้องเหนียมๆ กลัวเงินไม่พอ ต้องกินข้าวราดแกงข้างทาง บางครั้งอยากกินพิซซ่า อยากกินอะไรแปลกๆ ก็ไม่กล้ากิน เพราะมันแพง
      
       การ ที่เราทำตรงนี้ตามที่ผมคิดอยู่ทุกวันว่ารอให้รวยก่อนชาตินี้ก็ไม่ได้ทำ รอให้พร้อมก่อนมันก็ไม่พร้อมหรอก บางคนบอกรอให้เกษียณก่อนเพราะงานยุ่ง เกษียณมาได้ทำบุญไม่กี่ครั้งก็ตายแล้ว บางคนรวยเป็นหมื่นล้านยังหาความสุขไม่เจอเลย บางคนรวยกลัวเงินล้านแหว่งก็ไม่ทำ แต่สำหรับผมต่อให้ผมสะดุดตายหรือเจออุบัติเหตุตายพรุ่งนี้ ผมก็ไม่เสียดายชีวิตเพราะผมได้สะสมแต้ม สะสมบุญแล้ว สุดท้าย ท้ายสุดเอาไปไม่ได้สักบาทและไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า
      
        หลายคนมองว่าคุณเดี่ยวเป็นแท็กซี่ที่น่ายกย่องและน่าเอาเป็นตัวอย่าง ตรงนี้คิดเห็นอย่างไรบ้างคะ
      
       (ยิ้ม) หลายคนจะมองว่าผมเป็นแท็กซี่หัวใจหล่อ แท็กซี่อุ้มบุญ แท็กซี่มหาชน แท็กซี่หัวใจทองคำ แท็กซี่น้ำใจงาม แท็กซี่จิตสาธารณะ แท็กซี่ฮีโร่ แล้วแต่เขาจะเรียก แต่ก่อนหน้านี้ยังมีแต่คนเรียกเราว่า 25 สตางค์ 50 สตางค์อยู่เลย หาว่าเราไม่เต็มบาท ไม่ครบคน ตอนนี้เขาให้ฉายามาแบบนี้ผมก็รู้สึกซาบซึ้งนะครับว่าสิ่งที่ทำไปมีคนเห็น เราสามารถเป็นแบบอย่างให้แก่เด็กๆ ให้กับคนที่ชอบพูดว่ายังไม่พร้อม ยังไม่รวยหรืองานยุ่งไม่มีเวลาไปทำบุญได้
      
       ผม มีคติในการใช้ชีวิตอย่างหนึ่งก็คือ เป็นคนดี ดีกว่าดวงดี คนเรามักจะพูดว่าดวงดีแล้วจะดี แต่จริงๆ แล้วเราดี ดีกว่าดวงดีนะครับ ถ้าเราเป็นคนชั่วแล้วจะดวงดีมันก็ยังไงๆ อยู่นะ เพราะถ้าเราเป็นคนดี ยังไงมันก็ดีกว่าแน่นอน เพราะเราเป็นคนกำหนดเอง (ยิ้ม)
      
       • ครอบครัวหรือคนรอบข้าง คิดเห็นอย่างไรบ้างคะที่เห็นเราทำแบบนี้
      
       แฟน ผมที่อยู่ด้วยกันเขาก็เสียสละให้กับผู้ป่วยนะครับ ทุกวันนี้เขาโหนรถเมล์ไปกลับเพราะไม่เคยจองทันผู้ป่วยเลย วันหยุดเขาก็ต้องนอนอยู่ห้อง จากแต่ก่อนผมเคยพาเขาไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ แต่เดี๋ยวนี้หยุดก็ต้องนอนอยู่ห้องเพราะจองไม่เคยทันคนป่วย ผมต้องขอบคุณเขานะครับที่เขายอมเสียสละ เขาสงสารคนป่วย เขาเข้าใจเราแล้วก็อยู่กับเราได้ แต่ถ้าเขาบังคับให้ผมเลิกทำตรงนี้
      
       ก่อน หน้านี้เพื่อนๆ ผมจะพูดประมาณว่าผมบ้า ไม่เต็มบาท แต่ผมก็จะบอกเขาไปว่าทำอะไรก็ทำไปเถอะ ถ้าไม่ได้เดือดร้อน เรื่องทำดีอย่าไปอาย เรื่องชั่วๆ มากกว่าที่ควรจะอาย
      
       แต่ก็มีบางคนโทรมา ด่าผมเลยนะครับหาว่าเราสร้างภาพ ผมเคยโดนหลอกด้วยนะครับ หลอกให้เราไปรับที่นั่นที่นี่ ดอนเมืองบ้างล่ะ สุวรรณภูมิบ้างล่ะ หมอชิตบ้างล่ะอ้างกับเราว่าเป็นคนพิการแต่ผมไปไม่เจอ โทรหาเป็นหลายสิบสายก็ไม่รับ หรืออย่างบางคนมาจองคิวไว้ เสนอเงินให้ผมหลายพัน เหมาสามสี่วันซึ่งเราเอะใจเพราะเรามีลางสังหรณ์ก็เลยรับคิวผู้ป่วยท่านอื่นๆ ก่อน แล้วก็เป็นจริงตามนั้น เพราะสี่วันที่เขามาจองไว้ เขาหลอกเราหมดทุกวัน (หัวเราะ) ที่ผมโดนหลอก ผมมองนะว่าช่างมัน ไม่เป็นไร ขนาดเบอร์ 191 ยังโดนหลอกเลย ผมโดนมาสารพัด โดนหลอกไม่เท่าไหร่ ยังโดนทำลายรถด้วย
      
       ผม ว่ามันนานาจิตตังนะ มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด มีสรรเสริญก็ต้องมีคนนินทาเป็นธรรมดา (ยิ้ม) แต่ผมจะเฉยๆ นะครับ ผมจะไม่ถือสาอะไร ให้เขาทำไปเขาก็จะเหนื่อยไปเอง
หนึ่งในล้าน! “สุวรรณฉัตร พรหมชาติ” แท็กซี่หัวใจน่ากราบ
       
         แน่ นอนว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นส่งผลให้เราต้องสูญเสียเวลาความเป็นส่วนตัวไป แล้วเรารู้สึกอย่างไรกับตรงนี้เคยคิดจะหยุดทำหรือเปล่า หรือมีเหนื่อยหรือท้อบ้างไหมคะ
      
       ไม่เคยคิดครับ (ตอบเร็ว) ผมไม่เคยคิดจะหยุดทำเลย แต่ถ้าวันหนึ่งถ้าผมหมดแรงและไม่มีแรงทำจริงๆ ผมก็จะหยุดแล้วไปปลูกพืช ปลูกผักกินที่บ้านนอก ถ้ายังมีแรงก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ
      
       ผม ไม่เหนื่อย ไม่ท้อนะครับ ผมมีความสุขมากกว่า คนเราเกิดมา ผมว่าจะท้อไม่ได้หรอกเพราะว่าเราต้องใช้ชีวิต เรามีลมหายใจ เรามีสติสัมปชัญญะครบถ้วนอยู่ เราต้องอยู่อย่างมีเมตตา อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี อยู่อย่างมีศีลธรรม มันไม่ท้อหรอก
      
       ผม มีความเชื่อว่า ถ้าเรายิ่งให้ก็จะยิ่งได้ ยิ่งทำยิ่งมีความสุข ยิ่งปีติ แต่ทำตรงนี้เราต้องเสียสละ เพราะหลายคนอาจมองเรื่องกำไร เรื่องขาดทุน ไหนจะเรื่องเชื้อเพลิงอีก เราต้องเสียสละ แรงกาย แรงเหงื่อ เราต้องอุ้ม ต้องยกผู้ป่วย ค่าเชื้อเพลิง รายได้แต่ละวัน การทำตรงนี้ต้องเสียสละความสุขส่วนตัวด้วยเพราะบางครั้งโทรมาดึกๆ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตเราก็ต้องตื่นไป
      
       บาง วันผมเคยไม่ได้เงินสักบาทเดียว แต่ผมก็สามารถอยู่ได้ ชีวิตผมทำงานมา 5 เดือนไม่ได้เงินก็ยังมี แล้วผมมองว่าการที่เราเคยได้นับเงินเยอะๆ มันไม่เห็นจะมีความสุขตรงไหนเลย มันไม่มีความสุขเท่าช่วยเหลือคนเลย ผมว่าการได้ช่วยเหลือคนมันเป็นอะไรที่ทำให้เราปีติ อิ่มใจ มีความสุขมากกว่านะ มันทำให้ชีวิตเรามีคุณค่า ถ้าผมจะต้องตายพรุ่งนี้ ผมก็ไม่เสียดายชีวิต ผมเลยทำมาตลอดโดยที่ไม่ได้สนใจอะไร
      
        ไม่ทราบว่ามีใครเป็นแบบอย่างในการทำความดีให้กับคุณเดี่ยวคะ
      
       ผมมองพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นตัวอย่าง ท่านทรงงานหนักมาตลอด ทำมา 4,000 กว่าโครงการย่อยที่ช่วยเหลือราษฎร แล้วเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทั่วโลกไม่มีใครเขาทำกัน ผมเลยเอาท่านเป็นแบบอย่างในชีวิตมาโดยตลอด (ยิ้ม)
      
        จะว่าไปแล้วเราได้อะไรจากสิ่งที่ทำมา 20 ปี บ้างคะ
      
       ความ สุขครับ (ตอบเร็ว) ผมมีความสุขทุกวัน มีญาติพี่น้องทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเต็มไปหมด เขาไม่เคยลืมเรา ซึ่งเราก็ไม่เคยไปรบกวนเขานะครับ อีกอย่างที่เราได้คือเราได้เป็นแบบอย่างของการแบ่งปัน บางเคสที่ผมไปรับ ลูกหลานตัวเล็กๆ ขึ้นรถเรามาด้วย เห็นสิ่งที่เราทำ เราช่วยญาติของเขาซึ่งเขาไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่คนรู้จัก ไม่ใช่เพื่อนบ้านของเรา แต่เราช่วยฟรี วันข้างหน้าน้องๆ เหล่านี้เติบโตขึ้นมาในสังคม เขาจะทำให้สังคมน่าอยู่ เพราะว่าเราทำเป็นแบบอย่างให้เขาเห็น วันข้างหน้าเขาจะมีเมตตา เขาจะช่วยเหลือสังคมโดยที่มองเราเป็นตัวอย่าง ผมมีความเชื่อแบบนั้นนะครับ
      
       • ปัจจุบัน มีหลายคนวิพากษ์ วิจารณ์แท็กซี่มุมลบไปต่างๆ นานา ว่าไม่รับคนบ้างล่ะ หลอกต่างชาติบ้างล่ะ ขับไม่ดีบ้างล่ะ ในฐานะที่เป็นโชเฟอร์แท็กซี่คุณเดี่ยวมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างคะ
      
       ผมมองว่าแท็กซี่ ที่ไม่ได้ผ่านการอบรมมีเยอะมาก เขาเข้าไม่ถึงหัวใจของการบริการ ไม่ได้ถูกอบรมเป็นกิจจะลักษณะ แล้วแท็กซี่บางคนเข้ามาในกรุงเทพฯ แค่ขับรถเป็น ใส่รองเท้าแตะ กางเกงขาสั้น ไม่รักษาภาพพจน์ตัวเองและภาพลักษณ์อาชีพตัวเอง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนแล้วก็เอาเปรียบสังคม เอาเปรียบผู้โดยสาร ไม่เป็นมิตรต่อผู้โดยสาร ทำมาหากินในแบบผู้โดยสารหวาดระแวง เกิดการไม่ไว้วางใจกับบุคคลอาชีพนี้ บางคนเห็นผู้หญิงหน้าตาดีหน่อยก็หัวงูใส่ มันไม่ปลอดภัย อีกอย่างชาวต่างชาติบางคนจะรู้สึกแย่มากกับการท่องเที่ยวประเทศไทยตรงที่ว่า เขาต้องเหมาแท็กซี่ราคาแพง ไม่ยอมกดมิเตอร์หรือโกงมิเตอร์บ้างล่ะ พาเขาอ้อมบ้างล่ะ ผมว่ามันไม่ใช่นะ
      
       สำคัญ ที่สุด ผมเห็นว่าต้องทำมาหากินอย่างมีศักดิ์ศรี เขาก็จะให้เกียรติเราเอง จากตอนแรกที่เขามองแท็กซี่แบบเหมารวม แต่พอเขามาเจอคนที่ดีปุ๊บ เขาก็จะแยกแยะได้ อาชีพอื่นก็เช่นกันครับ ทุกที่มีทั้งคนดีและคนไม่ดี จะเหมารวมไม่ได้ แต่หลายคนอาจจะมองเหมารวมเพราะแท็กซี่ที่เขาเจอมาส่วนใหญ่อาจจะเป็นอย่าง นั้น เขาอาจจะเกลียดแท็กซี่ หรือถ้าพูดถึงปุ๊บ ก็มองว่าไม่ดีแล้ว
      
        การขับแท็กซี่เป็นหน้าที่บริการอย่างหนึ่ง คุณเดี่ยวคิดว่าการบริการที่ดีหรือการเป็นคนขับแท็กซี่ที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร
      
       การ ขับแท็กซี่ต้องเข้าถึงหัวใจการบริการ เพราะมันเป็นภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศชาติด้วย เราต้องบริการด้วยหัวใจ มองว่าผู้โดยสารเป็นเหมือนญาติมิตร ใจเขา ใจเรา ซื่อสัตย์กับอาชีพตัวเอง มันก็จะทำให้ลูกค้าเข้ามาเอง ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน ตรงนี้ถ้าเราทำดี เราไม่จำเป็นต้องไปหาลูกค้าหรอกครับ เดี๋ยวลูกค้าก็เข้ามาเอง บางครั้งผมเจอลูกค้าต่างชาติ เขาให้เงินมา 100 ดอลลาร์เลยนะครับ กับค่ารถเงินไทยต่างหาก ซึ่งเราก็ต้องตกใจนะว่าทำไมเขาให้เยอะขนาดนี้ แต่ตรงนี้ เรามองว่าเป็นเพราะเราไม่เอาเปรียบเขา ไม่โกงเขา บางคนมิเตอร์ขึ้นไม่เท่าไหร่ แต่ให้มา 500 บาทเพราะเราบริการด้วยหัวใจ
      
       ผมอยากให้นึกถึงใจเขา ใจเรา ถ้าเราไปเที่ยวบ้านเขา เขาดีกับเรา เราประทับใจก็อยากไปเที่ยวอีก เช่นกันเขาก็คิดแบบนั้น
      
       อีกอ ย่าง ต้องแต่งกายให้สุภาพ ไม่ควรใส่กางเกงขาสั้น ไม่ควรใส่รองเท้าแตะ ไม่ควรเปิดเสียงดังบนรถรบกวนผู้โดยสาร เป็นอาชีพแท็กซี่ต้องสร้างความเชื่อมั่น สร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสาร และควรขับรถอย่างมีสติ
      
       • ท้ายนี้อยากให้คนมองอาชีพแท็กซี่ว่าอย่างไรบ้างคะ
      
       ง่ายๆ เลย ถ้าคุณอยากให้อาชีพแท็กซี่เป็นอย่างที่คุณต้องการ เวลาที่คุณเรียกแล้วเขาไม่รับ คุณช่วยแจ้งมาที่เบอร์ 1584 เพื่อร้องเรียนหน่อย เพราะเขามีมาตรการปรับอยู่ตรงนี้ จะได้ดัดนิสัยของแท็กซี่บางคันด้วย เพราะถ้าคุณเรียกแต่แท็กซี่ไม่รับเป็นสิบๆ คันเลยแล้วคุณไม่ร้องเรียน เขาก็จะไปทำกับคนอื่นๆ อีกจนเคยตัว เคยชิน ถ้าคุณอยากให้แท็กซี่ดี ผมว่าเราต้องช่วยกัน แต่งกายไม่สุภาพก็ร้องเรียนไปเลย พูดจาไม่ดีร้องเรียนไปเลย เรียกแล้วไม่ยอมไป ก็ร้องเรียนไปเลยครับ (ยิ้ม)
หนึ่งในล้าน! “สุวรรณฉัตร พรหมชาติ” แท็กซี่หัวใจน่ากราบ
       
หนึ่งในล้าน! “สุวรรณฉัตร พรหมชาติ” แท็กซี่หัวใจน่ากราบ
       
หนึ่งในล้าน! “สุวรรณฉัตร พรหมชาติ” แท็กซี่หัวใจน่ากราบ
       
หนึ่งในล้าน! “สุวรรณฉัตร พรหมชาติ” แท็กซี่หัวใจน่ากราบ
       
หนึ่งในล้าน! “สุวรรณฉัตร พรหมชาติ” แท็กซี่หัวใจน่ากราบ
       
หนึ่งในล้าน! “สุวรรณฉัตร พรหมชาติ” แท็กซี่หัวใจน่ากราบ
       
หนึ่งในล้าน! “สุวรรณฉัตร พรหมชาติ” แท็กซี่หัวใจน่ากราบ
       
หนึ่งในล้าน! “สุวรรณฉัตร พรหมชาติ” แท็กซี่หัวใจน่ากราบ
       
        Profile
      
       ชื่อ : สุวรรณฉัตร พรหมชาติ
       ชื่อเล่น : เดี่ยว
       วันเกิด : 10 ธันวาคม 2520
       อายุ : 38 ปี อาชีพ : ขับแท็กซี่
  

  ........................................................................................................................  

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

NLD leader powers through nationwide campaign schedule

Criss-crossing the country, Daw Aung San Suu Kyi is clocking up the miles as the only party leader with nationwide status drawing the crowds ahead of the November elections.
Supporters gather to watch Daw Aung San Suu Kyi speak in her constituency, Kawhmu, yesterday. Photo: Aung Khant / The Myanmar TimesSupporters gather to watch Daw Aung San Suu Kyi speak in her constituency, Kawhmu, yesterday. Photo: Aung Khant / The Myanmar Times
Yesterday the 70-year-old National League for Democracy leader made her first visit to her own constituency of Kawhmu, a township of some 100,000 residents across the river from Yangon.
A day earlier she had been in central Myanmar in Nay Pyi Taw, challenging the ex-military candidates of the ruling United Solidarity and Development Party (USDP). Later this week her tiring schedule brings two days back north in Sagaing Region.
Flag-waving crowds were organised in advance by party activists as Daw Aung San Suu Kyi spoke yesterday in the delta village of Maet Zal Sate. She expressed concern that voters had been intimidated.

‘’I heard that the villagers, especially civil servants, were threatened. However, do not be afraid of anything, and I want to say please vote for the NLD so that threats will not happen again,” she said.
U Tin Htut, a 50-year-old villager, alleged that Maet Zal Sate’s administrative head – whose post is under the military-controlled General Administration Department – had put pressure on locals to vote for the USDP. But, he added, most villagers were unwilling to do so.
‘’I must vote NLD whatever they [USDP] do in their electioneering,’’ U Tin Htut told The Myanmar Times.

The town of Kawhmu and surrounding villages are only an hour away from Yangon by ferry and car, but the infrastructure is like that of another world. Even though roads have improved in recent years, residents said there is no hospital or clinic and people struggle to earn a living.
Ko Myo Zin from Maw Taw village seemed sceptical however about promises of development. Changes have not happened yet and he doubts they will ever come, he said, adding that is unlikely he will “interrupt” his life to go and vote.
But others pointed out that in the past two years concrete roads had assured access to villages that had been extremely difficult to reach in the rainy season. Such progress they attributed to Daw Aung San Suu Kyi, who won her parliamentary seat in Kawhmu in the 2012 by-election.

“I believe surely that our villages will become more developed after she will be re-elected to parliament,” said 40-year-old Ko Aye Moe from Sone Shan village.
He said he had voted for the USDP in the 2010 elections – which were boycotted by the NLD – because the candidate had promised development. “But the promise disappeared into air,’’ he said, adding that he would like better education facilities locally.
“I wish that Daw Suu was going to be president because she made many changes for our villages even though she does not have full powers. I believe she could create many changes for us when she has full power in government,’’ said Daw Pearl from Kyeik Htwal village.

Understanding the politics of patronage, Daw Aung San Suu Kyi has made a point at her rallies to stress that the NLD could not implement development efficiently because the party is not in control of the government.
Kawhmu is the safest of seats for the NLD, but on September 20 Daw Aung San Suu Kyi took her campaign into one of the townships of the Union Territory of Nay Pyi Taw, fertile ground for the USDP with its high concentration of civil servants and soldiers.
She chose Zeyarthiri in the heart of the capital where in July more than 1700 residents, many with links to the military, launched a petition in a bid to oust their local MP, Speaker Thura U Shwe Mann, for allegedly showing “disrespect” to the military in parliament. As Speaker of parliament and USDP chair, the ex-general who made no secret of his own presidential ambitions was also seen as a potential ally of the NLD leader.
Thura U Shwe Mann decided not to run for re-election in Zeyathriri, making a last-minute change instead for his hometown of Pyu in Bago Region. He was ousted as USDP chair last month.

Daw Aung San Suu Kyi’s message in Zeyarthiri was that governments only hold power temporarily because power lies in the hands of the people. At a speech in Nan Aw village she said the people carried a great responsibility and should not rely completely on any government, even if the NLD came to power.
She promised that if the people were not satisfied with a government led by the NLD then they would have the right to vote again five years later.
It was time to change, she said, suggesting that the current government was only committed to reforms in words.

Knowing what her rivals lack in charisma they make up in resources, she said, “Every vote is priceless. So don’t sell them to another … You can take everything they give, but don’t give them your vote. Selling your vote means you sell your future.”

With King in Declining Health, Future of Monarchy in Thailand Is Uncertain

An image of the king outside a shop in Bangkok. Credit Adam Ferguson for The New York Times

BANGKOK — After nearly seven decades on the throne, King Bhumibol Adulyadej, 87, the keystone of Thailand’s identity and a major unifying force for the country, is in declining health. With increasing frequency, the palace has issued medical bulletins detailing his ailments, and in recent days his youngest daughter has led prayer sessions following a Buddhist rite normally used for terminally ill patients.
Worries over the king’s health have cast a pall of anxiety across the country, which has one of the worst performing economies in Asia and is ruled by a military junta that seized power last year.
While reverence for the king was once the only thing that this fractured country could agree on, today the future of the Thai monarchy is uncertain.
The king’s heir apparent, the jet-setting crown prince, has a reputation as a playboy and faces an uphill battle to win the trust and adoration his father has achieved. Many Thais hoped that Princess Sirindhorn, the crown prince’s sister, who has won hearts through her charitable causes and dealings with the poor, might succeed her father, but palace law bars women from the throne.

Worries over the transition have accelerated an extremely delicate debate over what kind of monarchy Thailand should have. Delicate because not only is Bhumibol still living, but any open discussion of the subject is severely circumscribed by a strict lèse-majesté law that makes it a crime to defame, insult or threaten the king, queen or heir-apparent.
The law is interpreted broadly, and barely a month goes by without someone being convicted under it and sent to jail for up to 15 years.
Still, the Internet churns with anonymous social media commentary and videos deriding the monarchy, and a growing underground republican movement is challenging its very premise.
“The current anti-monarchy movement is due to the very fact that the monarchy is now made into almighty god,” said Sulak Sivaraksa, a social activist and scholar who has been charged or arrested five times for his outspokenness about the king. “The more you make the monarchy sacred, the more it becomes unaccountable and something beyond common sense.”
The support for such views is impossible to gauge. How popular is Crown Prince Vajiralongkorn, who has divorced or separated from three wives and in recent years spent half of his time in Europe? No one knows, because you cannot have a poll on the subject. Would Thais prefer some other system? Other than anonymous Internet posts and expatriate critics, it is not up for discussion.
Even efforts to talk about having such a conversation have been quickly shot down or retracted. In 2010, Foreign Minister Kasit Piromya, speaking at Johns Hopkins University School of Advanced International Studies in Washington, said that Thais should discuss the “taboo subject.”
“I think we have to talk about the institution of the monarchy,” he said. “How it would have to reform itself to the modern globalized world. Like what the British or the Dutch or the Danish or the Liechtenstein monarchy has gone through to adjust itself to the modern world.”
A government spokesman quickly distanced the government from the comments, saying they were “personal” and not official policy.
One way to assay the strength of the anti-monarchy movement might be by sizing up the military government’s efforts to counter it. The junta, which claims legitimacy from the king’s blessing, has positioned itself as the institution’s ultimate defender.

The ruling generals have been aggressive in jailing critics of the monarchy and this year alone are spending $540 million, more than the entire budget for the Ministry of Foreign Affairs, on a promotional campaign called “Worship, protect and uphold the monarchy.”
The campaign includes television commercials, seminars in schools and prisons, singing contests and competitions to write novels and make short films praising the king. The military also erected giant statues of past kings in the seaside town of Hua Hin, but said they were financed by private donations.
“This is not propaganda,” Prayuth Chan-ocha, the leader of the junta, said several months after seizing power last year. The youth, he said, “must be educated on what the king has done.”
In recent months the military has also appeared eager to burnish the reputation of the crown prince. Last month, Mr. Prayuth spent hours with the crown prince touring Bangkok by bicycle in a nationally televised event honoring Queen Sirikit, who is also in failing health.
The crown prince, 63, has been shown in Thai media and YouTube videos as youthful, athletic and a doting father, a contrast to the “Don Juan” the queen once called him.
Mr. Kasit, the former foreign minister, said the bicycle tour was a “turning point” for the prince.
“There are no more doubts inside the military establishment as to who will be the next monarch of Thailand,” Mr. Kasit said.
The military’s backing of the prince, indeed its alliance with the monarchy, is seen as mutually beneficial. The king is the head of the Thai armed forces and must endorse all new governments and major appointments. Critics say the military and Bangkok establishment are leveraging the king’s power to bolster their own.
The absolute monarchy was abolished in Thailand in 1932. But King Bhumibol is treated like a demigod, and since he ascended the throne in 1946 the monarchy has grown into a bastion of prestige and wealth.
Sulak Sivaraksa has been charged or arrested five times for his outspokenness about the king. "The more you make the monarchy sacred, the more it becomes unaccountable and something beyond common sense," he said. Credit Adam Ferguson for The New York Times
Those who regard it as atavistic need not look far for potent symbols. In rituals that seem to hark from a different era, Thais humbly crawl or kneel before the king, a tradition abolished in the 19th century and resurrected during Bhumibol’s reign. His subjects refer to themselves as “the dust under your feet.”
Although rarely seen in public because of his age and illness, he is everywhere. His portraits hang from the facades of government buildings, crown the entrance to airports and are de rigueur in offices and schools.
In a country where average household income is less than $9,000 a year, Bhumibol is almost unfathomably rich. In addition to the king’s personal holdings, the Crown Property Bureau, a royal trust, controls more than $37 billion in assets, which produce hundreds of millions of dollars in annual income that, according to Thai law, can be spent “at the king’s pleasure.”
The republican movement was precipitated in part by the rise of Thaksin Shinawatra, a business tycoon turned populist politician whose influence and popularity in rural areas were seen as threats to the royal establishment and Bangkok’s urban elite.
The military ousted Mr. Thaksin as prime minister in 2006, and overthrew a government led by his sister, Yingluck Shinawatra, last year, but his followers remain the core of the most powerful political movement in modern Thai history. The king sided with the military in both coups.

Military rule has papered over those divisions, silencing critics and jailing former members of the government. But unifying the country remains the most pressing challenge for both the junta and the future king.
The royal succession presents the monarchy with an inflection point, and possibly an opportunity.

“The situation of the Thai monarchy will not remain like this for many more years,” Somsak Jeamteerasakul, one of the leading experts on the monarchy, wrote in a Facebook post last December. “There are two options for the future. Either transform to a modern monarchy like in Europe or Japan or don’t change and become definitively demolished (a republic). There is no third choice.”

Some Thais cite the wisdom of a venerated 19th-century king, Chulalongkorn, who wrote an open letter to his son outlining the requirements for a monarch.

Be humble and avoid vengefulness, he advised. “Being a king means not to be wealthy. It means not bullying others.”
Failure to follow this advice, he said, might lead “our clan to disappear.”

Dozens of ISIS defectors explained why they left the terror army

Business Insider
.
ISIS Islamic State Raqqa Syria
(REUTERS/Stringer) An Islamic State militant (L) stands next to residents as they hold pieces of wreckage from a Syrian war plane after it crashed in Raqqa, in northeast Syria September 16, 2014.
Almost 60 Islamic State defectors have spoken out against the caliphate and Western governments should do more to incentivize former fighters to speak out, according to a new report by the International Center for the Study for Radicalization.
According to the New York Times, about 20,000 foreigners have joined jihadist groups in the Middle East over the last two years. About a quarter of those are Europeans, and it is estimated that between 25% and 40% have gone back to Europe.
The new report says that most of the defectors have gone into hiding to escape reprisal from ISIS but also to avoid imprisonment in the countries to which they are returning. According to the report, 58 defectors from Europe and Australia have now publicly spoken about their experience.
In the reasons listed as to why they became disenchanted with the jihadist group, most defectors mention the violence toward other Muslims. Two defectors who left after finding out they had been selected to be suicide bombers told the BBC that the "brutality of IS terrifies everyone," referring to ISIS (aka Islamic State, IS, ISIL, and Daesh).
A Syrian man who had initially joined a rebel group fighting the Assad regime joined ISIS when his whole tribe pledged allegiance. He told the BBC that the first stage of the ISIS indoctrination was a course on the Sharia.
"Not the principles of Islam, the principles of the Islamic State," the man said. "So they teach you the Islam they want."

He said ISIS tactics boiled down to this "If you're against me, then you'll be killed. If you're with me, you work with me. You submit to my will and obey me, under my power in all matters."
View gallery
.
isis militants
(Screen grab) ISIS militants
Another Western man, Abu Ibrahim, travelled to Syria to join ISIS after converting to Islam. He claims he went there to give humanitarian assistance to Syrians and because he wanted to live under strict Islamic law. He spent six months living in the caliphate.
Ibrahim says he saw crucifixions and the stoning to death of a couple convicted of adultery, he told CBS news.
"There were many hundreds of people there who observed. While seeing someone die is not something anyone would probably want to see, having the actual Sharia established is what many Muslims look forward to."
He also told CBS news that he did not find the methods medieval.
"It's harsh, it's real but it's the Sharia," he said.

.
September 15 ISIS Syria Iraq map
(Institute for the Study of War) Eventually though he grew disillusioned with the group because he did not approve of the killing of non-combatants such as aid workers and journalists. But he also said that his main reason for leaving was that he was not doing what he had come to do: give Syrians humanitarian help.
“It had become something else — so, therefore, no longer justified me being away from my family," Ibrahim told CBS news.
Many defectors just got bored with what they saw as favoritism by commanders toward some fighters, and felt that the life of a jihadi was less exciting than what they had seen in the propaganda videos. Others, who joined because of the promise of luxury items, cars or having their debt paid off, came back as it got clearer that those were empty promises, the AFP reports.

.
ISIS Islamic State
(Militant website / AP) In this photo released on May 14, 2015 by a militant website, which has been verified and is consistent with other AP reporting, a member of the Islamic State group's vice police known as
The report also lists the reasons why people joined the group in the first place, the most common one being the horrors committed by Bashar Al-Assad in Syria. The report also urges governments to protect ISIS defectors in a bid to incentive them to speak out as reports of their experience could be used as a "potentially powerful tool in the fight against it. The defectors’ very existence shatters the image of unity and determination that ISIS seeks to convey," the report says.

According the Peter Neumann, the director of the center and professor of security studies at King’s College,a lot of people are becoming more confident in speaking out against the caliphate as ISIS' shininess is wearing off, and it’s starting to look less impressive."
The report acknowledges that many of the defectors may have committed crimes but it also said that governments should “remove legal disincentives” that deter defectors from going public and should try to resettle them rather than imprison them.
...........................................................

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

David Attenborough Among Renowned Experts Calling For Global Apollo-Style Program For Clean Energy

September 17th, 2015 by

One of the world’s most familiar faces, and even more familiar voices, Sir David Attenborough has joined his voice to a group of renowned experts calling for an Apollo-style research program intended to decrease the cost of renewable energy.
Sir David Attenborough is one of the planet’s most famous scientists, known the world over for the soothing tones of his naturalist-documentary voice-overs. The 89-year old has joined his voice to an open letter written via The Guardian calling for world leaders to commit to backing the Global Apollo Programme, itself intending to make renewable energy cheaper than oil within 10 years.
In a speech delivered at Rice University in September of 1962, then-US President John F Kennedy declared that the United States would put a man on the moon by the end of that decade. It was a ridiculous and absurdly overreaching statement, but when that was accomplished in 1969 with Apollo 11.
The same drive and passion that pushed the US to land a man on the moon — even though it had barely even got its space flight program off the ground — is needed now to impact the way renewable energy is developed around the world. The Global Apollo Program, named in honor of the famous US Apollo space program, intends to “accelerate the decarbonisation of the world economy through more rapid technical progress, achieved through an internationally-coordinated program of research and development over a 10-year period.”
Sir-David-Attenborough

Many names have already gotten behind the Global Apollo Program, and a recent open letter published in The Guardian — including Sir David Attenborough’s name — is calling on world leaders to similarly back the program.
“The plan requires leading governments to invest a total of $15 billion a year in research, development and demonstration of clean energy,” the 26 signatories write. “That compares to the $100 billion currently invested in defence research and development globally each year.”

......................................

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

พระสมเด็จวัดระฆังเกศบัวตูม

คนที่สนใจพระเครื่องให้ศึกษาพระสมเด็จองค์นี้ให้ดี





       พระสมเด็จพิมพ์เกศบัวตูม องค์นี้ถือว่าเนื้อหา/พิมพ์ทรง/และการตัดขอบพิมพ์ดีมาก สมบูรณ์แบบ อีกทั้งธรรมชาติของพระที่ผ่านการเวลามานับร้อยปีมีปรากฏเด่นชัด เนื้อมวลสารหด/แห้ง/เหี่ยว/ย่น/แยกปรากฏชัดเจน ภาพที่ถ่ายมานี้ใกล้เคียงของจริงมากๆๆๆ ผู้เขียนตั้งใจถ่ายให้ได้ใกล้ความจริงที่สุด เพื่อให้คนทั่วไปได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้เรื่องพระสมเด็จ
ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าแบบองค์พระนั้นคงได้มาจากพระแก้วมรกตในวังที่ทรงเครื่องในฤดูร้อน ทั้งองค์พระ/ฐานพระ/ครอบแก้วพระติดชัดมากๆ ด้านหลังเป็นแบบหลังปาดเรียบ/ปรากฏร่องรอยครูดและแยกแบบแตกลายงา ผู้สนใจพระเครื่องควรศึกษาจากองค์ครูนี้ให้ดี เพื่อโอกาสในวันหน้าหากท่านจะได้เจอะเจอ เพื่อให้จำง่ายผู้เขียนเองได้แต่งกลอนไว้ว่า ดั่งนี้
พระสมเด็จ สุดยอด ของพระเครื่อง
จำไว้เรื่อง พิมพ์ทรง และเนื้อหา
ดูของจริง รับรู้ เป็นตำรา
หมั่นศึกษา สักวัน คงได้ครอง
..........................................................................................................

China military parade commemorates WW2 victory

  • 35 minutes ago
  •  
  • From the sectionChina

Soldiers of China's People's Liberation Army (PLA) stand in armoured vehicles during the military parade to mark the 70th anniversary of the end of World War Two, in Beijing, China, 3 September 2015Image copyrightReuters
Image captionSome 12,000 troops and 200 aircraft, as well as tanks and missiles, were on display in Tiananmen Square

China has held a lavish parade in Beijing to mark the defeat of Japan in World War Two, showcasing its military might on an unprecedented scale.
President Xi Jinping in his opening speech paid tribute to "the Chinese people who unwaveringly fought hard and defeated aggression" from Japan.
He also said the People's Liberation Army would be reduced by 300,000 personnel, but gave no timeframe.
China's growing military power is being keenly watched amid regional tensions.
China has several territorial disputes with neighbours in the South China Sea, as well as with Japan in the East China Sea.
Ahead of the parade, the US said five Chinese ships had been spotted in the Bering Sea off Alaska for the first time.

Grey line
Soldiers of China's People's Liberation Army (PLA) march at the beginning of the military parade marking the 70th anniversary of the end of World War Two, in Beijing, China, 3 September 2015Image copyrightReuters


Grey line

More than 30 foreign government officials and heads of state including Russia's President Vladimir Putin and UN Secretary General Ban Ki-moon attended the event,
But many Western leaders and Japan's Prime Minister Shinzo Abe have stayed away.
Some 12,000 troops and 200 aircraft, as well as tanks and missiles, were on display in Tiananmen Square, including the anti-ship "carrier killer" missile Dongfeng-21D.
More than 80% of the machinery on display was being shown to the general public for the first time, according to state media.
Mr Xi, also the commander of the armed forces, was centre stage at the parade's proceedings.

Chinese President Xi Jinping stands in a car on his way to review the army, at the beginning of the military parade marking the 70th anniversary of the end of World War Two, in Beijing, China, 3 September 2015Image copyrightReuters
Image captionMr Xi inspected the troops after his speech
Image copyrightReuters
Image captionMilitary helicopters formed the number 70 to mark the 70th anniversary of the end of World War Two in Asia
Military vehicles carrying shore-to-ship missiles drive past the Tiananmen Gate during a military parade to mark the 70th anniversary of the end of World War Two, in Beijing, China, 3 September 2015Image copyrightEPA
Image captionShore-to-ship missiles were on display in the parade

'China will not seek expansion'

Mr Xi made the troop reduction announcement in a speech where he reassured the global community that "China will remain committed to peaceful development".
"No matter how strong it becomes, China will never seek hegemony or expansion. It will never inflict its past suffering on any nation," he said.
BBC China Editor Carrie Gracie, who was at the parade, says the army cuts will not mean a weaker China.
China is also upgrading its naval and air forces, she says, so does not need as many boots on the ground to project its power around the world.

Graphic: China-US military balance

Alexander Neill from the International Institute for Strategic Studies (IISS) in Singapore, says the move shows China's "determination to have a modern fighting force".
China's People's Liberation Army (PLA) is the world's largest military, with 2.3 million members. China also has the second biggest defence budget after the US.

Military band sing and salute at the Tiananmen Square at the beginning of the military parade marking the 70th anniversary of the end of World War Two, in Beijing, China, 3 September 2015.Image copyrightReuters
Image captionSome 12,000 military personnel and 200 aircraft took part in the huge display in Beijing
Chinese President Xi Jinping (2nd R) talks to former President Jiang Zemin (R) next to Russia's President Vladimir Putin (2nd L) and South Korea's President Park Geun-hye on the Tiananmen Gate, at the beginning of the military parade marking the 70th anniversary of the end of World War Two, in Beijing, China, 3 September 2015Image copyrightReuters
Image captionSouth Korea's Park Geun-hye, Russia's Vladimir Putin, and former President Jiang Zemin are among the dignitaries attending


Celia Hatton, BBC News, Beijing: For sale - submarines, fighter jets, drones
China's victory parade is designed to be a grandiose demonstration of the country's military prowess. But it's also a useful opportunity for the Chinese military to showcase its wares.
A few months ago, China surpassed Germany to become the world's third largest arms supplier, according to the Stockholm Peace Institute.
Arms sales from China have soared 150% in the past five years. For the first time, all of the armaments shown during the parade will be Chinese-made, with no Russian-made weapons on display.
In April, the Chinese signed a deal to supply eight new submarines to Pakistan - the most expensive arms deal in Chinese history. There is also a possible deal in the works to sell Chinese submarines to Thailand.
The parade is not quite the same as an arms fair, but representatives from China's closest military allies will be on hand as China's latest weaponry streams past them.


A picture released by Xinhua News Agency shows veterans saluting as they pass through Tiananmen Square during a military parade marking the 70th Anniversary of the Victory of Chinese People's Resistance against Japanese Aggression and World Anti-Fascist War in Beijing, China, 3 September 2015.Image copyrightEPA
Image captionPeople's Liberation Army war veterans took part in the parade
Military aircraft perform during the military parade marking the 70th anniversary of the end of World War Two, in Beijing, China, 3 September 2015Image copyrightReuters
Image captionMilitary aircraft performed fly-bys with colourful trails to symbolise China's bright future, television commentators said
People watch military helicopters on a pedestrian overpass outside the closed area during the military parade to mark the 70th anniversary of the end of World War Two, in Beijing, China, 3 September 2015Image copyrightReuters
Image captionA large area around Tiananmen Square was blocked off for the parade, and Beijing residents gathered at the perimeter to watch

In the build-up to the event, state media have published commentaries reinforcing Chinese patriotism and views on historical events.
Entertainment shows were also suspended on television to make way for the coverage.
Beijing's normally smoggy skies were unusually blue, after factories were closed, barbecues banned and cars stopped from travelling to reduce pollution.
Concerns about China's growing military assertiveness and the tone of the parade meant many Western and Asian leaders stayed away from the event.
"During a period of strained relations between China and Japan, as well as increasing military tension in the Asia-Pacific region, some leaders are reluctant to be associated with what they may view as a nationalistic, anti-Japanese mass rally," says Mr Neill.

Graphic: Top 15 military budgets

Japan launched a full-scale invasion of China in 1937 and, according to Beijing, eight years of fighting claimed 14 million Chinese lives.
China also claims that it is the "forgotten ally" and that its role in defeating Japan has been underplayed in the post-war narrative.
Nationalist forces led the fight against Japan in China. They were defeated by Mao Zedong's Communists who proclaimed a people's republic in 1949.