อาณาจักรสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหงยิ่งใหญ่มากทั้งทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม แต่แม้สุโขทัยจะดำรงอยู่ราว 250 ปี ก็ดูจะยิ่งใหญ่อยู่แค่ 70-80 ปีเท่านั้น เฉพาะในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนรามคำแหง และพระมหาธรรมราชาลิไท เพราะสุโขทัยเสื่อมลงหลังจากนั้นด้วยการเมืองภายในและความแตกแยกร้าวฉานกันเองในหมู่ผู้ปกครองซึ่งว่าไปแล้วก็เป็นวงศาคณาญาติกันทั้งนั้น
พูดถึงอาณาจักรสุโขทัยก็ต้องพูดถึงเพื่อนบ้านซึ่งเป็นหัวเมืองฝ่ายเหนือและพูดถึงขอมพูดถึงเขมรด้วย เอาเรื่องเมืองเหนือก่อนก็ได้ อาณาจักรเมืองเหนือที่ใหญ่ไม่แพ้อาณาจักรสุโขทัยสมัยนั้นคืออาณาจักรล้านนาของพ่อขุนเม็งรายหรือมังราย เดิมอยู่เชียงแสน ต่อมาก็สร้างเวียงเชียงราย และเวียงเชียงใหม่ พ่อขุนเม็งรายเป็นสหายกับพ่อขุนรามคำแหงแห่งสุโขทัยและพ่อขุนงำเมืองแห่งพะเยา ยามพ่อขุนสุโขทัยและพ่อขุนพะเยาผิดใจกันเรื่องกิ๊กก็ได้พ่อขุนเม็งรายเป็นกาวใจ จนทั้งสามร่วมดื่มน้ำสาบานกันและปรองดองร่วมด้วยช่วยกันสร้างเวียงเชียงใหม่ พ่อขุนเม็งรายและพ่อขุนรามคำแหงนั้นท่านเป็นมหาราชทั้งคู่
ทุกวันนี้ยังมีอนุสาวรีย์พ่อขุนทั้งสามอยู่หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่หลังเก่า
ถ้าพ่อขุนเม็งรายไม่เป็นมิตรกับพ่อขุนรามคำแหง คงได้ต่อสู้รบพุ่งกันจนตายไปข้างหนึ่ง และหากไม่สุโขทัยตกเป็นของอาณาจักรล้านนา ทางล้านนาก็คงตกเป็นของสุโขทัย
พูดถึงขอมและเขมรซึ่งเป็นอาณาจักรใหญ่ตัวจริงอยู่ทางทิศตะวันออกของไทย ราว 4,000-5,000 ปีมาแล้ว ยังเป็นที่อยู่ของมนุษย์ถ้ำ มนุษย์ภูเขา และชาวประมงแถวทะเลสาบเขมร ตามตำนานว่าราว 2,000 ปีก่อนมีพราหมณ์หนุ่มรูปหล่อลงเรือจากอินเดียมาถึงดินแดนนี้และได้เมียเป็นบุตรีพญานาคผู้เป็นเจ้าถิ่น พญานาคพ่อตาเนรมิตนครให้ปกครองตั้งตามชื่อธิดาพญานาคว่ากัมพูชาอันเป็นบรรพบุรุษชาวเขมรมาจนทุกวันนี้
ตำนานก็คือนิทานพื้นบ้าน จริงไม่จริงไม่ต้องไปตรวจสอบให้เสียเวลา แต่ถ้าปะติดปะต่อกับพงศาวดารแล้วเข้าใจได้ว่าศาสนาพราหมณ์คงเข้ามาในตอนนั้น (ฝรั่งสันนิษฐานว่าหลังพุทธศาสนาเกิดแล้วราว 600 ปี) ดินแดนกัมพูชาจึงเต็มไปด้วยเทวสถาน เทวาลัยต่าง ๆ หินสลักรูปพระผู้เป็นเจ้า และพิธีรีตองแบบแขกแบบฮินดู
ต่อมาพุทธศาสนาเริ่มแบ่งออกเป็นมหายานและเถรวาท พุทธศาสนาแบบมหายานมีพระโพธิสัตว์มากมายดุจเม็ดทรายในมหาสมุทรได้เข้ามาสู่กัมพูชา และด้วยความที่ไปกันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยกับศาสนาพราหมณ์ก็เริ่มผสมกลมกลืนกัน ดังที่ศาสนสถานและปราสาทหินหลายแห่งถูกแปลงจากเทวสถานของพราหมณ์ไปเป็นพุทธสถานของพุทธแบบมหายาน ตอนนั้นสุโขทัยยังไม่เกิด แต่อิทธิพลศาสนาพราหมณ์และพุทธแบบมหายานลงใต้ไปที่อาณาจักรศรีวิชัยด้วย ดังหลักฐานที่ขุดพบแถวไชยา สทิงพระ และชวา
คนที่อยู่ในดินแดนนี้เรียกตัวเองว่าชาวกัมพูชาหรือเขมร แต่ราวพันปีเศษมานี้เริ่มปรากฏชื่อว่า “กรอม” หรือ “กร๋อม”
ซึ่งเป็นที่มาของคำว่าขอม พระยาอนุมานราชธนอธิบายว่าเดิมคงเป็นเผ่าหนึ่งอยู่ในกัมพูชามาก่อน แต่ในมอญก็เคยมีพวกนี้อยู่จึงอาจอพยพหนีโรคระบาดไปอยู่ไกลถึงหงสาวดีในมอญก็ได้ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ นักอ่านศิลาจารึกเดากลับกันว่าขอมอาจเป็นพวกมอญผสมละว้า ต่อมาข้ามไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนกัมพูชา และผสมปนเปไปกับชาวเขมรหรือกัมพูชาซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเดิม พระยาอนุมานราชธนจึงสรุปว่าทั้งขอมและเขมรปะปนกันมานับพันปีแล้ว ดังนั้นจะว่าเป็นพวกเดียวกันหรือคนละพวกก็ถูกทั้งนั้น
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ อธิบายอีกแบบว่า ทุกวันนี้เรายังขาดความรู้เรื่องขอมและเขมร แต่เขมรไม่รู้จักคำว่าขอม ขนาดอาณาจักรที่เราเรียกว่าขอมพวกเขมรก็เรียกว่าอาณาจักรเขมรหรือแขมร์หรือไม่ก็กัมพูชา ตรงกับที่มหาฉ่ำ ทองคำวรรณ บอกว่าขอมเป็นคำที่ชาวต่างชาติใช้เรียกเขมรมาแต่โบราณ แต่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ผมว่าฟังดูคงเหมือนกับเดิมที่ฝรั่งเรียกเราว่าสยามหรือเราเรียกคนญี่ปุ่นว่า “ยุ่น” โดยที่ชาวญี่ปุ่นไม่รู้จักเสียละมั้ง!
ก็ที่หนังสือพิมพ์ไทยรายงานข่าวว่า “บอลค่ำนี้ น้ำหอมดวลแข้งกับผู้ดี ใครชนะได้เข้ารอบชิงแชมป์กับเบียร์” หรือไม่ก็ “ลอดช่องช้ำแพ้บอลอิเหนา” ท่านว่านอกจากคนไทยรู้กันเองแล้วใครอ่านรู้เรื่องบ้างไหมครับ!
ขอมหรือเขมรเป็นใหญ่ทางซีกโลกด้านนี้จนแผ่อิทธิพลเข้าไปในแคว้นต่าง ๆ ไม่ว่าโคตรบูรณ์ ละโว้ สุโขทัย และสุพรรณภูมิ ถ้าไม่เป็นการเข้าครอบครอง แคว้นเหล่านี้ก็รับเอาปรัชญา ศิลปะ วัฒนธรรมต่าง ๆ ไปใช้เอง ดังเห็นจากสถาปัตยกรรมแบบปราสาทหิน ศาสนา ภาษา และธรรมเนียมต่าง ๆ ซึ่งต่อไปจะเห็นชัดขึ้นในสมัยอยุธยา
สิ้นสมัยพ่อขุนรามคำแหง อาณาจักรสุโขทัยก็เริ่มเคานท์ดาวน์ พญาเลอไท ลูกของพ่อขุนรามคำแหงได้เป็นเจ้าเมืองคนที่ 4 (รู้จากศิลาจารึกหลักที่ 45) แต่ต่อมาก็ต้องไปบวช (รู้จากศิลาจารึกหลักที่ 6 วัดป่ามะม่วง)
อยู่ดี ๆ พญาเลอไทคงไม่ทิ้งเมืองไปบวช แต่เป็นเพราะพญางั่วนำถุม ลูกพ่อขุนบานเมืองพี่ชายพ่อขุนรามคำแหงจะขึ้นเป็นเจ้าเมืองสุโขทัยแทน นับญาติกันแล้วพ่อขุนงั่วนำถุมเป็นลูกผู้พี่ พญาเลอไทเป็นลูกผู้น้องเพราะพ่อของทั้งสองคนคือ “พี่น้องท้องเดียวกัน” ถ้าพญาเลอไทคิดจะสมัครใจหันหน้าเข้าสู่ทางธรรมเอง เหตุใดไม่ตั้งพญาลิไท ลูกชายขึ้นเป็นเจ้าเมืองแทน ทั้งที่ส่งไปฝึกหัดราชการเป็นเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยรออยู่แล้ว แสดงว่าสุโขทัยน่าจะเกิดความขัดแย้งกันเองในหมู่ญาติและพญางั่วนำถุมคงจะปฏิวัติสำเร็จ
การขึ้นเป็นใหญ่ของพญางั่วนำถุมยังถือเป็นเจ้าองค์ที่ 5 ในราชวงศ์พระร่วง เพราะท่านเป็นลูกพ่อขุนบานเมือง เป็นหลานอาพ่อขุนรามคำแหง เป็นหลานปู่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ย่าของท่านคือนางเสืองซึ่งตรงนี้เองที่สันนิษฐานว่าเป็นลูกพ่อขุนศรีนาวนำถุมแห่งราชวงศ์นาวนำถุม เพราะโบราณมักเอาชื่อปู่ย่าตายายหรือทวดมาตั้งเป็นชื่อหลานเหลน ท่านจึงได้คำว่า “นำถุม” ติดมาด้วย ส่วนคำว่า “งั่ว” แปลว่า ห้า งั่วนำถุมจะเป็นพ่อขุนน้ำท่วมเจเนอเรชั่นที่ 5 หรือลูกคนที่ 5 ก็ไม่ทราบ สมัยอยุธยาเรามีกษัตริย์ชื่อขุนหลวงพะงั่วนี่ก็ห้า
ฟังดูใกล้เคียงกับภาษาจีนว่าโหงวที่แปลว่าห้านะครับ!
ต่อมาพญาลิไทลูกพญาเลอไทซึ่งครองศรีสัชนาลัยอยู่ยกทัพเข้ายึดเมืองสุโขทัยคืนจากพ่อขุนงั่วนำถุมและตั้งตนเป็นเจ้าองค์ที่ 6 (รู้จากศิลาจารึกหลักที่ 2 วัดศรีชุม) คราวนี้กรุงสุโขทัยก็กลับใหญ่ผงาดขึ้นอีกครั้งแต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับสมัยปู่ท่านคือพ่อขุนรามคำแหง ช่วงนี้เองที่พระเจ้าอู่ทองเริ่มสร้างกรุงศรีอยุธยาขึ้นใหม่ทางตอนใต้แถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาและป่าสักแทนที่เมืองโบราณชื่ออโยธยาศรีรามเทพนคร กลายเป็นแคว้นคู่แข่งกับสุโขทัย จะว่าเป็นศัตรูกันก็คงได้ ศัตรูของอยุธยาอีกรายหนึ่งคือขอมหรือเขมร ณ เมืองพระนครหรือศรียโสธรปุระ ตอนนั้นอยุธยาได้ละโว้หรือลพบุรีมาแล้ว และถือเป็นหน้าด่านชายแดนสำคัญทางตะวันออก อยากได้ก็แต่หน้าด่านทางเหนืออีกแห่งจึงเล็งไปที่สุโขทัย
พุทธศาสนาแบบเถรวาทเข้ามามีอิทธิพลในสุโขทัยตั้งแต่สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ต่อกับพ่อขุนรามคำแหง แต่มารุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยพญาลิไทนี้เอง ดังที่ราษฎรเรียกพระองค์ว่าพระมหาธรรมราชาตามแบบครั้งพระเจ้าอโศก กษัตริย์แคว้นมคธ ทรงอุปถัมภ์พุทธศาสนาและทรงสร้างวัดวาอาราม เจดีย์ต่าง ๆ ไว้มาก ทรงนิมนต์พระจากลังกาเข้ามาสอนศาสนา และเสด็จออกผนวชที่วัดป่ามะม่วง ทรงแบ่งคณะสงฆ์ออกเป็นพระป่า “อรัญวาสี” และพระบ้าน “คามวาสี” แต่ขณะเดียวกันก็ทรงเป็นนักรบ จะว่าใช้ศาสนานำทางสร้างอำนาจด้วยก็ได้ พี่สุจิตต์ วงษ์เทศเคยเขียนไว้ว่าพญาลิไททรงใช้ศาสนาดำเนินกลยุทธ์ทางการเมืองไปพร้อมกัน
พญาลิไทรุกลงไปตีเมืองเก่า ๆ ของอาณาจักรสุโขทัยคืนมาคือนครชุม (กำแพงเพชร) และสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ไว้ที่นั่น สองแคว (พิษณุโลก) สระหลวง (พิจิตร) ย้อนขึ้นไปถึงเมืองแพร่ เมืองใดตีไม่ได้ก็เจริญไมตรีด้วยการส่งทูตไปผูกมิตร เช่น เมืองน่าน หลวงพระบาง อาณาจักรล้านนา (ตอนนั้นเป็นสมัยลูกหลานพ่อขุนเม็งราย)
การแผ่อิทธิพลของพระมหาธรรมราชาลิไททำให้แคว้นอยุธยาซึ่งเพิ่งเกิดใหม่ได้ไม่กี่ปีทั้งหมั่นไส้และกลัว เวลานั้นอยุธยาต้องการสลัดตัวเองให้พ้นจากการปกครองและอิทธิพลแบบสุโขทัยจึงไม่ยอมรับแนวคิดเรื่อง “พ่อขุน” และ “ธรรมราชา” แต่พอใจแบบแผนการปกครองของขอม ซึ่งดูศักดิ์สิทธิ์ ขลัง และพิลึกดี โดยเฉพาะในเรื่อง “เทวราช” คือ ผู้ปกครองเป็นพระเป็นเจ้า มีการใช้ราชาศัพท์ มีระเบียบแบบแผนและกฎบัตรกฎหมายแปลก ๆ ดังที่พญาอู่ทองได้เป็นสมเด็จพระรามาธิบดีไปแล้ว คำสั่งก็เรียกว่าพระบรมราชโองการ กิน เดิน นั่ง นอนก็กลายเป็นเสวย เสด็จ ประทับ บรรทม ตายก็เรียกว่าสวรรคตแปลว่าไปสู่สวรรค์ ฟังดูหรูหราดี!
พระเจ้าอู่ทองมีพี่เมียหรือไม่ก็น้องเมียชื่อขุนหลวงพะงั่ว เป็นเจ้าเมืองสุพรรณซึ่งเคยเป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่ แต่ตอนนั้นกะทัดรัดลงมากแล้ว พระเจ้าอู่ทองส่งขุนหลวงพะงั่วขึ้นไปชิงเมืองสองแคว (พิษณุโลก) เอาไว้เป็นหน้าด่านชายแดนทางเหนือกันชนไม่ให้สุโขทัยขยายลงมาใต้เลยไปได้น้องสาวพญาลิไทเป็นเมียกลายเป็นน้องเขยพญาลิไท ซึ่งว่าไปแล้วขุนหลวงพะงั่วก็พี่เมียน้องเมียกับพระเจ้าอู่ทองอีกด้วย ฟังดูยุ่งชะมัดนะครับ!
ขุนหลวงพะงั่ว ขออนุญาตจากพระเจ้าอู่ทองให้พญาลิไทพี่เมียขยับลงมาครองเมืองสองแคว พระเจ้าอู่ทองตกลงแต่ให้น้องสาวพญาลิไทคนที่เป็นเมียขุนหลวงพะงั่วนั่นแหละขึ้นไปครองเมืองสุโขทัยในนามของพระมหาเทวี ทั้งที่อยุธยาไม่ได้ตีกรุงสุโขทัยแตก อาณาจักรสุโขทัยจึงมี 2 ราชธานี เฉพาะที่กรุงสุโขทัยจึงมีผู้ปกครององค์ที่ 7 เป็นหญิงอยู่ระยะหนึ่ง
ถ้าไม่ใช่ครั้งตีสองแควได้ครั้งแรกก็คงเป็นช่วงที่พญาลิไทลงมาปกครองเมืองสองแควรอบนี้แหละที่ท่านสร้างพระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา พระพุทธชินราชขึ้น
พอพระเจ้าอู่ทองสวรรคต พระราเมศวร พระราชโอรสได้เป็นกษัตริย์อยุธยาแต่ต่อมาขุนหลวงพะงั่วก็ยกทัพเข้ายึดกรุงศรีอยุธยา พญาลิไทถือโอกาสยกทัพจากสองแควทำท่าจะมาช่วยขุนหลวงพะงั่วน้องเขยเอาความดี แต่ทางอยุธยาพระราเมศวรยอมยกกรุงศรีอยุธยาให้ขุนหลวงพะงั่วผู้เป็นลุงหรือน้า (พี่หรือน้องแม่) โดยดี แล้วท่านก็หลบไปครองลพบุรีอยู่เงียบ ๆ พญาลิไทจึงยกทัพกลับแล้วถือโอกาสเลยไปยึดเมืองสุโขทัยจากน้องสาว ปลดรัฐบาลพระมหาเทวีแล้วตั้งตนเป็นใหญ่รอบสอง ขุนหลวงพะงั่วกษัตริย์รัชกาลที่ 3 ของอยุธยารู้เข้าก็ไม่ว่าอะไร ก็พี่เมียน้องเขยกากีนั้งเหล่าเผ่งอิ้วจะอะไรกันนักหนา อย่างน้อยสุโขทัยก็คงไม่เป็นภัยต่ออยุธยาอีกแล้ว
พญาลิไทสวรรคต (เรียกแบบอยุธยา) ในเวลาใกล้ ๆ กัน พญาลือไท ลูกชายได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองสุโขทัยองค์ที่ 8 ส่วนพระมหาเทวีเขาให้ใหญ่ท่านก็ใหญ่ให้เล็กท่านก็เล็ก เพราะท่านก็ว่าอะไรตามสคริปต์ที่พี่ชายบ้าง คนโน้นคนนี้บ้างบอกบทให้อยู่แล้ว เล่ามาถึงนี้ก็จวนสิ้นอาณาจักรสุโขทัยแล้วนะครับ เพราะอีกไม่นานสุโขทัยทั้งอาณาจักรก็สูญเสียอำนาจแก่อยุธยา
น่าสนใจว่าสุโขทัยก็อาณาจักรหนึ่ง กรุงศรีอยุธยาก็อาณาจักรหนึ่ง เหตุใดเราจึงถือว่าประวัติศาสตร์ไทยเริ่มจากสุโขทัยลงมาต่อกับอยุธยา มันต่อเนื่องกันตรงไหนหรือ ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่นับอาณาจักรล้านนาของพ่อขุนเม็งรายมหาราชหรืออาณาจักรหริภุญไชยของพระนางจามเทวีว่าต่อกับไทยด้วย
แหม! ต้องว่ากันต่อในตอนที่ 4 แล้วละครับ
วิษณุ เครืองาม
wis.k@hotmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น