วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554


เดิมทีผมเขียนเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ทุกวันอังคารในเดลินิวส์แบบตามใจฉันอยู่หลายอังคาร จนช่วงหนึ่งต้องนำนักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าไปดูงานในต่างประเทศบ่อยหน่อย แต่ละครั้งนั่งรถบัสกันยาวนาน เรียกว่าหลับก็แล้ว ร้องเพลงก็แล้ว ชวนกันสวดมนต์ก็แล้วยังไม่ถึง นักศึกษาจึงขอให้เล่าอะไรก็ได้ฆ่าเวลาบนรถแต่กำหนดทีโออาร์ว่า “ต้องฟังสนุก ลุกสบาย คลายเหงา เคล้าประโยชน์” แล้วจะเล่าอะไรละครับให้ตรงสเปกได้ขนาดนั้น!
   
ในที่สุดก็คิดออกว่าแม้ผมจะไม่ใช่นักประวัติศาสตร์แต่ก็จัดว่าเป็นนักเล่าเรื่องคนหนึ่ง ถ้าจะเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ไทย เพราะคนรุ่นนี้รู้จักแต่วันนี้และพรุ่งนี้ ไม่ค่อยรู้จักเมื่อวานนี้ โดยจะจับเอาตอนสนุก ๆ มาเล่า ตัดพวกราชาศัพท์ที่รกรุงรังเกินเหตุและ พ.ศ.ต่าง ๆ ที่ทำให้ประวัติศาสตร์เป็นยาหม้อออกเสียบ้างก็น่าจะสำเร็จประโยชน์ ยิ่งพูดให้ดัง ๆ ใช้ศัพท์สมัยใหม่ เดินเรื่องเร็ว ๆ เข้าไว้คงพอแก้เซ็งไปได้บ้างละน่า ประวัติศาสตร์นั้นถ้าเล่าให้สนุกมันก็สนุกนะครับ
   
พอลองไปสักสองสามทริปก็ดูจะได้ผล แม้ผมจะคอแหบคอแห้งอยู่คนเดียว ภายหลังมีคนมาคะยั้นคะยอให้เขียน พลเอกศิรินทร์ ธูปกล่ำนั้นถึงขนาดขู่ว่าถ้าไม่เขียนจะเอาเทปที่อัดไว้จากบนรถไปถอดแล้วพิมพ์ขายเอง ผมปั่นต้นฉบับลงเดลินิวส์บ่อยเข้าก็หมดภูมิจะเขียนเรื่องอื่นอยู่เหมือนกันจึงยอมหันมาเขียน ประเดิมด้วยเรื่องอมรรัตนโกสินทร์ คือเล่าเรื่องกรุงเทพฯ เล่าแบบถือไมค์พูดบนรถทัวร์นั่นแหละครับ ไม่ทันได้ค้นคว้าอะไรเป็นหลักเป็นฐานหรอก ใครอย่าไปอ้างในวิทยานิพนธ์เข้านะครับ สอบตกหรือถูกครูด่าผมไม่รับผิดชอบ ยิ่งถ้าไปบอกว่าจำมาจากผม ผมจะฟ้องฐานหมิ่นประมาท!
   
เขียนได้ 25 ตอนก็จบแต่ญาติโยมยึดธรรมาสน์ไว้เกณฑ์ให้ว่าเรื่องกรุงศรีอยุธยาต่อ ที่จริงพิลึกเหมือนกันเพราะอยุธยาควรมาก่อนกรุงเทพฯ แต่จะทำไงได้เพราะนึกว่าจะเล่าแต่เรื่องเมืองกรุงเทพฯ ให้จบ ๆ แล้วไปหากินเรื่องอื่น ๆ พอขัดศรัทธาญาติโยมไม่ได้และผมก็บ้ายอเสียด้วย จึงต้องย้อนทวิภพกลับไปหาศรีอยุธยาอีก 12 ตอน ครั้นจบเพราะกรุงก็แตกแล้ว น้ำก็ท่วมวินาศสันตะโรไปหมดแล้ว นิคมอุตสาหกรรมก็จมน้ำแล้ว ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือหลายท่านเจอหน้าก็แนะว่าช่วยย้อนกลับไปไกลกว่านั้นให้ถึงสุโขทัย แถมสั่งอีกว่าจบสุโขทัยก็ให้เขียนเรื่องธนบุรีอีกด้วยนะ!
   
ก็บอกแล้วว่าผมบ้ายอ ไม่ว่าโคนันทวิศาลหรือคน ยอเข้าไว้มาก ๆ เป็นอันว่าตายคาต้นยอทั้งนั้นแหละครับ ขนาดหนีจากเขียนตามใจฉันมาเล่าประวัติศาสตร์นึกว่าคงรู้แล้วรู้แรดหมดภาระ คุณประภา “แดง” บรรณาธิการเดลินิวส์ยังขอว่าไอ้ที่เขียนตามใจฉันก็ยังเอานะ ว่าแล้วก็เปิดคอลัมน์จันทร์สนุก ศุกร์สนานเพิ่มวันจันทร์และศุกร์ให้ผมสนุกสนานอีกสองวัน ผมก็ได้แต่เสียงอ่อยเป็นแมวครวญว่า “เอาก็เอา”
   
ฉะนั้นคงจะเล่าเรื่องกรุงสุโขทัยไปสัก 4-5 ตอน จบแล้วก็ต่อด้วยกรุงธนบุรีอีกไม่กี่ตอนซึ่งน่าจะสนุกกว่าสุโขทัยให้สิ้นถ้อยกระทงความ หลังจากนั้นถ้าใครยังกระชับวงล้อมยึดธรรมาสน์ไม่ให้ลงอีก ผมเห็นจะเล่าเรื่องกรุง ศรีวิไลละครับ!
   
ราว 800-900 ปีก่อนโน้นเทียบกับอังกฤษก็ราวสมัยพระเจ้าจอห์นที่ถูกบังคับให้ลงนามในตราสารสำคัญชื่อแมกนา คาร์ตา หรือยุคโรบินฮูดนั่นแหละ ประเทศของเราทุกวันนี้ยังไม่เป็นประเทศ ยังไม่มีชื่อว่า “สยาม” หรือ “ไทย” ด้วยซ้ำ แต่แผ่นดินนี้มีอยู่แล้ว ไม่ได้จมอยู่ใต้น้ำใต้บาดาล แม้ก่อนหน้านั้นสักหมื่นปีเขาว่าเป็นทะเลโคลนหรือท้องทะเลมหาสมุทรก็ตามเพราะเคยพบกระดูกปลาวาฬแถวเมืองนนท์ แผ่นดินนี้เป็นที่ตั้งของแคว้นต่าง ๆ กระจัดกระจายแยกกันอยู่ แคว้นต่อแคว้นรบกันบ้าง แต่งงานนับญาติกันบ้าง หลายแคว้นผู้คนไปมาหาสู่กันแต่บางแคว้นผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ เปล่งรัศมีเกทับกัน
   
แคว้นใหญ่ ๆ ที่พอเอ่ยชื่อได้ เช่น แคว้นนครศรีธรรมราช (จารึกโบราณเรียกเมืองตามพรลิงค์ จดหมายเหตุของจีนเรียกตาหม่าหลิง) ซึ่งยิ่งใหญ่อยู่ทางใต้ เหนือขึ้นไปมีแคว้นละโว้ (ลพบุรี พงศาวดารเหนือเรียกแคว้นกัมโพช แสดงว่ามีเอี่ยวกับเขมรอยู่ก่อน พระปรางค์สามยอดยังเป็นหลักฐานอยู่จนทุกวันนี้) ซึ่งยิ่งใหญ่อยู่แถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทางฝั่งตะวันออก (สมัยนั้นยังไม่ได้เรียกแม่น้ำเจ้าพระยา) อีกด้านคือลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกมีแคว้นสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) ครอบคลุมตั้งแต่ชัยนาท อ่างทอง สุพรรณบุรี ยันราชบุรี เพชรบุรี ส่วนแคว้นอยุธยา ธนบุรี กรุงเทพฯ ยังไม่เกิด มีแต่เมืองอโยธยาศรีรามเทพนครเป็นชุมชนโบราณอยู่นอกเกาะอยุธยา
   
แคว้นละโว้ แคว้นสุพรรณภูมิ และแคว้นนครศรีธรรมราชใหญ่แค่ไหนก็ตาม หลายร้อยปีต่อมาก็ถูกรวมเข้ากับแคว้นพระนครศรีอยุธยาทั้งโดยความสัมพันธ์ทางเครือญาติและการรบพุ่งกระชับวงล้อม
   
ทางเหนือสุดของดินแดนที่จะเป็นประเทศไทยต่อไปนั้นมีแคว้นหริภุญไชย (ลำพูน) ซึ่งได้ธิดากษัตริย์ละโว้ชื่อพระนางจามเทวีขึ้นไปปกครอง เหนือขึ้นไปมีแคว้นโยนกซึ่งครอบครองเมืองเชียงแสน เชียงราย แคว้นโยนกยิ่งใหญ่มาก สามารถคุมเส้นทางแม่น้ำโขงและแม่น้ำปิงไว้ได้ ต่อมาพ่อขุนเม็งรายหรือมังรายเจ้าแคว้นโยนกยกทัพลงมาตีแคว้นหริภุญไชยและเมืองเล็กรายทางได้หมดจนตั้งเป็นอาณาจักรใหญ่ชื่อล้านนาขึ้น สร้างเมืองหลวงอยู่กึ่งกลางระหว่างหริภุญไชยกับเชียงแสนชื่อ “กุมกาม” หรือกุ๋มก๋าม แปลว่าศูนย์กลางควบคุมอำนาจแต่ต่อมาน้ำปิงท่วมนิคม...เอ๊ย! เวียงกุมกามจนลำน้ำเปลี่ยนทิศจึงทิ้งเมืองไปสร้างเมืองเชียงใหม่แทน
   
ทางอีสานตอนนั้นก็มีแคว้นโคตรบูรณ์ (นครพนม) เป็นใหญ่ กินตั้งแต่เวียงจันทน์ นครพนม หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี ถึงอุบลราชธานี ภายหลังถูกกลืนไปเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรศรีสัตนาคนหุตหรือล้านช้างในลาวซึ่งใหญ่ขึ้นมาแทนที่ บางสมัยแคว้นโคตรบูรณ์ก็เป็นเมืองประเทศราชขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทอง
   
ใจเย็น ๆ ครับ ที่เล่ามานี้ยังไม่เอ่ยถึงสุโขทัยเลย เพราะสุโขทัยยังไม่เกิด!
   
อาณาจักรอื่นที่อยู่นอกดินแดนไทยวันนี้และจ้องแคว้นดังที่ว่ามานี้ตาเป็นมันก็มีอยู่ไม่น้อย ได้แก่ อาณาจักรพุกาม (พม่า) อาณาจักรน่านเจ้า (สิบสองปันนา อยู่ทางตอนใต้ของจีน) อาณาจักรศรีสัตนาคนหุต (เมืองหลวงอยู่ที่หลวงพระบาง) อาณาจักรกัมพูชา (เมืองหลวงอยู่ที่ศรียโสธรปุระหรือเมืองพระนครในเขมร) และที่เป็นมหาอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงเวลานั้นคือจีนซึ่งปกครองโดยพวกมองโกลตั้งแต่สมัยเจงกิสข่านมาจนถึงกุบไลข่าน
   
เจงกิสข่านเป็นสุดยอดของนักรบอภิมหาอมตะนิรันดร์กาล ยกทัพไล่ตีเข้าไปจนถึงรัสเซีย อินเดีย อาฟกานิสถาน ผมไปตุรกี เขาก็เล่าว่าบรรพบุรุษของตุรกีคือทหารเจงกิสข่าน ไปฮังการีเขาก็บอกว่าบรรพบุรุษของเขามาจากกองทัพเจงกิสข่าน ไปโครเอเชีย ไกด์ก็เล่าอย่างเดียวกัน พูดไปทำไมมี กษัตริย์ราชวงศ์โมกุลของอินเดียก็ได้ชื่อมาจากคำว่ามองโกลนั่นเอง
   
มองโกลตีอาณาจักรน่านเจ้าแตกแล้วยุบลงเป็นเมืองเล็ก ๆ ชื่อตาลีฟู ส่วนพุกาม ก็แพ้มองโกลแต่แม้มองโกลจะไม่เข้าครอบครอง พวกไทยใหญ่ก็ฉวยโอกาสเข้ายึดอำนาจซ้ำจนพุกามกลายเป็นเมืองหัวแหลกหัวแตก บุญที่มองโกลไม่ได้ตีลงใต้มาถึงแคว้นโยนก หริภุญไชยด้วย
   
ที่เล่ามานี้อย่าไปจำให้ปวดหัวเลยครับ รู้แต่ว่าไทยไม่ได้หนีมองโกลหรือโรคระบาดลงมาจากเทือกเขาอัลไต แต่อยู่มันแถว ๆ นี้แหละ การพูดจาภาษาต่าง ๆ ของแต่ละแคว้นจึงพอใกล้เคียงกันเพราะต้องคบค้ากันและแต่งงานข้ามแคว้นกันไปมา การนับถือศาสนาและการมีวัฒนธรรมประเพณีก็คล้ายคลึงกันบ้างอย่าไปใส่ใจว่าใครลอกใคร ไม่มีใครจดลิขสิทธิ์สิทธิบัตรหรอกครับ ผู้ปกครองแคว้นครั้งนั้นก็ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าอะไรที่ไหนเป็นแต่คนเก่ง นักรบ ฉลาด กล้าหาญ มีบุญและมีหน้าที่ปกครองให้ชาวเมืองอยู่สุขเย็นใจ จึงเรียกว่า “ขุน” หรือ “พ่อขุน” ไม่เรียกว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
   
ทีนี้ก็เข้าเรื่องล่ะครับเพราะต่อมามีเมืองเล็ก ๆ เกิดขึ้น 2 เมืองทางใต้อาณาจักรหริภุญไชย ได้แก่เมืองเชลียงและเมืองสุโขทัย แรก ๆ ก็เป็นทางผ่านเป็นจุดพักกองเกวียนเล็ก ๆ จุดแลกเปลี่ยนสินค้าเหมือนเปิดท้ายขายของ พอของหมดก็ปิดตลาดแยกจากไป อยู่มาก็ปลูกหลักปักฐานตั้งบ้านช่องเป็นหลักแหล่งเพราะอยู่ระหว่างเส้นทางจากละโว้ขึ้นไปหริภุญไชยตัดกับสายหริภุญไชยข้ามไปโคตรบูรณ์ ทำท่าจะเป็นสามเหลี่ยมเศรษฐกิจอย่างนั้นแหละ หลายปีต่อมาจึงเติบโตเป็นชุมชนใหญ่ ต่อมามีการสร้างเมืองใหม่ซ้อนลงในเมืองเชลียงและเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองศรีสัชนาลัยสวรรคโลก เห็นได้จากพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุที่ศรีสัชนาลัยซึ่งสร้างแบบขอมศิลปะบายนแปลกไปจากศิลปะทั้งปวงในศรีสัชนาลัย แสดงว่าเป็นคนละรสนิยมกัน
   
ใครสร้างเมืองศรีสัชนาลัยสวรรคโลกและเมืองสุโขทัยไม่มีใครรู้ ที่เล่ากันก็เป็นแต่นิทานพื้นเมือง แต่เจ้าเมืองคนแรกของสองเมืองนี้คือพ่อขุนศรีนาวนำถุม (ปรากฏจากศิลาจารึกวัดศรีชุม ซึ่งถือเป็นหลักที่ 2 และนักประวัติศาสตร์ให้ความเชื่อถือมาก)
   
ศรีสัชนาลัยสวรรคโลกและสุโขทัยเป็นเมืองฝาแฝด ศิลาจารึกเรียกว่า “นครสองอัน” คำว่า “นำถุม” เป็นภาษาเหนือแปลว่า “น้ำท่วม” แสดงว่าสมัยนั้นน้ำก็ท่วมเหมือนกัน พ่อขุนศรีนาวนำถุมคงเป็นผู้พิชิตน้ำท่วมหรือผู้อำนวยการ ศปภ. คงคล้าย ๆ พ่อขุนปลอดประสพ พ่อขุนประชา หรือพ่อขุนสุขุมพันธุ์!
   
เมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถุมซึ่งเป็นต้นราชวงศ์นาวนำถุม ปฐมกษัตริย์สุโขทัยตาย พวกเขมรชาวป่าดงพงพีหรืออาจเป็นพวกแรงงานเขมรเรียกว่าขอมสบาดโขลญลำพงได้บุกเข้ายึดศรีสัชนาลัยสวรรคโลกและสุโขทัย แต่ยังตั้งตนเป็นใหญ่ไม่ได้ พ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราด (บางคนว่าคืออุตรดิตถ์) ลูกชายพ่อขุนศรีนาวนำถุมได้ร่วมมือกับพ่อขุนบางกลางหาวเจ้าเมืองบางยาง ขับไล่ขอมสบาดโขลญลำพงออกไปได้ แล้วให้พ่อขุนบางกลางหาวครองเมืองสุโขทัย ส่วนพ่อขุนผาเมืองก็ไปครองศรีสัชนาลัยสวรรคโลก
   
นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าพ่อขุนสองคนนี้คงไม่ใช่แค่เพื่อนกัน นางเสืองเมียพ่อขุนบางกลางหาวน่าจะเป็นพี่สาวของพ่อขุนผาเมือง พ่อขุนบางกลางหาวจึงเป็นลูกเขยพ่อขุนพิชิตน้ำท่วม และพี่เขยพ่อขุนผาเมือง คำว่า “บาง” แปลว่าสวรรค์หรือเทพ เช่น คำว่าพระบาง “หาว” ไม่ได้แปลว่าง่วงนอนแต่หมายถึงเวหาหาว บางกลางหาวก็คือเทพหรือสวรรค์กลางท้องฟ้านั่นเอง นอกจากพ่อขุนผาเมืองจะยกสุโขทัยซึ่งขณะนั้นแข็งแกร่งกว่าให้แล้ว ยังแปลกที่ยกชื่อของตนซึ่งเขมรเคยตั้งให้ว่า “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” ให้พี่เขยใช้เป็นพระนามด้วย
   
ผู้รู้บางคนสงสัยว่าไฉนยอมกันง่าย ๆ ถึงจะเป็นญาติกันก็เถอะ บางทีอาจเป็นข้อตกลงแบ่งปันอำนาจหรือมีการเมืองแทรกก็ได้ เช่น อาจนับถือศาสนาหรือผีฟ้าต่างความเชื่อกันจึงแยกกันอยู่คนละแดน อีกหลายปีต่อมาลูกหลานพ่อขุนศรีนาวนำถุมเคยยกทัพเข้าตีสุโขทัยหวังจะเอาคืนอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนั้นสุโขทัยยิ่งใหญ่เสียแล้ว ในช่วงที่ใหญ่นั้นสุโขทัยก็ถือเอาศรีสัชนาลัยสวรรคโลก (ภายหลังแยกเป็น 2 เมือง) เป็นเมืองลูกหลวงทดลองงานของคนจะเป็นพ่อขุนของสุโขทัย คือต้องไปผ่านการเป็นพ่อขุนศรีสัชนาลัยสวรรคโลกก่อนจึงจะมาปกครองสุโขทัยได้เหมือนสมัยอยุธยาที่ถือเอาเมืองพิษณุโลกเป็นเมืองลูกหลวงสำคัญ
   
บัดนี้เริ่มราชวงศ์ใหม่ของสุโขทัยเรียกว่าราชวงศ์พระร่วง พ่อขุนรามคำแหงและพ่อขุนทั้งหลายที่เรารู้จักอยู่ในราชวงศ์นี้แหละครับ จนต่อมาอีกราว 200 ปีจึงถูกกรุงศรีอยุธยากลืนหายไปยุบรวมเป็นอาณาจักรเดียวกัน ว่าแต่ว่าทำไมจึงเรียกพระร่วง เอาไว้ว่ากันในตอน 2 ครับ.

วิษณุ  เครืองาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น