นักวิทย์ฯ ไทย ย้ำ ไม่เกิดวันสิ้นโลกแน่ ตาม 5 หลักวิทยาศาสตร์
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
กระทรวงวิทย์ฯ ชี้แจงความเชื่อเรื่องวันโลกแตกที่ถูกโยงเข้ากับหลักวิทยาศาสตร์ 5 ข้อ ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่เป็นความจริง ย้ำ นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อโลกไม่แตก
เป็นประเด็นร้อนที่กำลังมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในสังคมโลก รวมทั้งในประเทศไทยถึงเรื่องวันสิ้นโลกในวันที่ 21 ธันวาคมที่จะถึงนี้ โดยกลุ่มที่มีความเชื่อเรื่องนี้พากันชักชวนว่าควรจะทำในสิ่งที่ยังไม่เคยทำ และหาความสุขใส่ตัวให้มากที่สุด เช่น การไปอยู่กับคนรัก การมีเพศสัมพันธ์ และหาของกินที่อร่อยที่สุด เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม วันที่ 9 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันดาราศาสตร์ (สดร.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ความเชื่อเรื่องดังกล่าว ว่า กระแสพูดคุยกันว่าวันที่ 21 ธันวาคมนี้โลกจะแตกนั้น เป็นเรื่องความเชื่อ ที่มีที่มาที่ไปจากปฏิทินมายาของชนเผ่ามายา ซึ่งทำปฏิทินเอาไว้เมื่อประมาณ 5 พันปีก่อน โดยชนเผ่ามายาได้ทำปฏิทินทำนายเหตุการณ์ต่าง ๆ ไว้เป็นระยะเวลาประมาณ 3 พันปี โดยปฏิทินมาสิ้นสุดในวันที่ 21 ธันวาคม ปี ค.ศ.2012 พอดี จึงกลายเป็นที่มาของความกลัวที่ว่าวันดังกล่าวจะเป็นวันสิ้นโลก แต่หลายคนก็ค้านความเชื่อดังกล่าว บอกว่าน่าจะเป็นเหมือนวันสิ้นปีของชนเผ่ามายามากกว่า
รศ.บุญรักษา กล่าวต่อว่า นอกจากปฏิทินมายาแล้ว ยังมีความพยายามสร้างประเด็นที่ดูเหมือนจะเป็นหลักวิทยาศาสตร์ แต่นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์มาแล้วว่ าไม่สามารถเชื่อถือได้ทั้ง 5 เรื่อง ดังนี้ คือ
1. พูดกันว่าดาวดวงหนึ่งชื่อ นิบิรุ จะพุ่งมาชนโลกในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ ซึ่งถ้าเป็นความจริง นักดาราศาสตร์ โดยเฉพาะองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (นาซา) คงจะมองเห็นดาวดวงนี้แล้ว แต่ปรากฏว่าที่ผ่านมายังไม่เห็นแม้แต่เงา
2. การเกิดพายุสุริยะ หรือการปล่อยอนุภาคพลังงานสูงออกมาจากดวงอาทิตย์ ซึ่งแม้เรื่องนี้จะเป็นความจริงว่าจะมีพายุสุริยะ แต่ก็เป็นเพราะทุก ๆ 11 ปี ดวงอาทิตย์จะปล่อยอนุภาคพลังงานสูงออกมา หรือเรียกว่า "โซลาร์ แม็กซิมัม" โดย ครั้งก่อนที่ดวงอาทิตย์ปล่อยโซลาร์ แม็กซิมัมออกมาคือ ปี ค.ศ. 2000 และล่าสุดในปี ค.ศ. 2011 แต่ปรากฏโซลาร์ แม็กซิมัม ออกมาน้อยมาก จึงเป็นเพียงความกลัวกันว่า ดวงอาทิตย์จะสะสมพลังงานใหม่และปล่อยโซลาร์ แม็กซิมัมออกมาอีกในปีนี้ แต่จากการคำนวณของนาซาพบว่า การเกิดโซลาร์ แม็กซิมัมครั้งต่อไปน่าจะอยู่ในช่วงกลางปี ค.ศ.2013 และก่อนเกิดทุกครั้งนาซาจะแจ้งล่วงหน้าให้ทุกประเทศทั่วโลกทราบ เพื่อหาทางป้องกันเหตุร้าย และแม้จะมีพายุสุริยะที่เกิดโซลาร์ แม็กซิมัมจริง แต่ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องโลกแตกเลย เพราะพายุสุริยะไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการเกิดแผ่นดินไหวหรือน้ำท่วมโลกแต่ อย่างใด
3. เรื่องความกลัวกันว่าสนามแม่เหล็กในโลกจะกลับขั้วกัน ซึ่งเรื่องนี้พิสูจน์ได้ว่า ในโลกจะมีของเหลวที่ร้อนมากและมีประจุไฟฟ้า ขณะที่โลกหมุน ของเหลวดังกล่าวจะหมุนตามจึงเกิดเป็นสนามแม่เหล็กที่มีประโยชน์คือ จะป้องกันรังสีต่าง ๆ ที่ออกมาจากดวงอาทิตย์ได้ ซึ่งเวลานี้สนามแม่เหล็กขั้วใต้จะอยู่ที่บริเวณขั้วโลกเหนือ และสนามแม่เหล็กขั้วเหนือจะอยู่ขั้วโลกใต้ แต่กลัวกันว่าถ้าสนามแม่เหล็กกลับขั้วจะไม่สามารถป้องกันรังสีและอนุภาคต่าง ๆ ที่แผ่มาจากดวงอาทิตย์ได้ แต่ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว สนามแม่เหล็กสามารถกลับขั้วได้ แต่ต้องใช้เวลานับแสนปี และเวลานี้ยังไม่มีใครทำนายได้ว่าสนามแม่เหล็กโลกจะกลับขั้วหรือไม่ และแม้ว่าจะมีการกลับขั้วจริง ก็เชื่อว่ายังคงป้องกันรังสีจากดวงอาทิตย์ได้อยู่
4. ที่พูดกันว่าเป็นสาเหตุของโลกแตกคือ ดาวเคราะห์เรียงตัวกันทำให้เกิดการดึงดูดกันเองจนชนกันและโลกจะแตก ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ นักดาราศาสตร์ก็ยืนยันแล้วว่า จะไม่มีปรากฏการณ์ดาวเรียงตัวแต่อย่างใด
5. เรื่องระบบสุริยจักรวาลจะมีหลุมดำขนาดใหญ่อยู่ที่ใจกลาง โดยในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ หลุมดำจะดูดโลกเข้าไปและโลกจะแตก ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีเหตุผลใด ๆ ทางวิทยาศาสตร์ที่จะมาอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้เลย
รศ.บุญรักษา ยังกล่าวสรุปปิดท้ายว่า เรื่องความหวาดกลัวทั้งหมดดังกล่าว ยังไม่ถือว่าเป็นโหราศาสตร์ด้วยซ้ำ แต่เป็นเพียงแค่ข่าวลือที่พูดต่อ ๆ กันมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2555 และเมื่อใกล้วันตามคำเล่าลือจึงเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง แต่นักวิทยาศาสตร์ ไม่ได้ให้น้ำหนักกับข้ออ้างข้อใดเลยที่จะทำให้โลกแตก อย่าง ไรก็ตาม เวลานี้มีคนอยู่ 3 กลุ่มที่คิดเห็นต่อเรื่องเหล่านี้ คือ กลุ่มที่เชื่อและเป็นกังวล ถึงขั้นเตรียมการต่าง ๆ หรือ กลุ่มที่ไม่เชื่อและมองแบบขำ ๆ หรือ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีใครเชื่อถือเรื่องเหล่านี้เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น