เที่ยวสังขละ...เมืองแสนสงบ สุดชายแดนไทยฝั่งตะวันตก
เที่ยวสังขละ...เมืองแสนสงบ สุดชายแดนไทยฝั่งตะวันตก
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ คนหัวฟู สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ คุณ มอมแมม 777 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
ไม่ว่าจะฤดูไหน ๆ ความงดงามของ สังขละบุรี อำเภอเล็ก ๆ สุดเขตชายแดนไทยฝั่งตะวันตกของจังหวัดกาญจนบุรี ก็มีเสน่ห์ดึงดูดให้ผู้คนแวะเวียนเดินทางมาสัมผัสกับความสวยที่แตกต่างและ แปลกตาออกไป รวมถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวบ้าน ที่ยังคงดำเนินไปเฉกเช่นเมื่อครั้งวันวาน ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวกระโดดไปไกลแค่ไหน แต่เวลา ณ สังขละบุรี ก็ยังคงเนิบนาบไปอย่างช้า ๆ ไปตามจังหวะชีวิตของมัน
"สังขละบุรี" เป็นอำเภอที่ติดต่อกับชายแดนพม่า ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีประมาณ 215 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข 323 เส้นทางนี้ตัดผ่านภูเขาเลียบทะเลสาบเขื่อนวชิราลงกรณ์ เราสามารถมองเห็นทัศนียภาพทะเลสาบที่งดงามได้ ตัวอำเภอสังขละบุรี ตั้งอยู่บริเวณที่ลำน้ำสามสายมาบรรจบกัน อันได้แก่ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี รวมเรียกว่า "สามประสบ" ไหลรวมกันเป็นแม่น้ำแควน้อย
ทั้งนี้ อำเภอสังขละบุรี ถือเป็นอำเภอที่มีชาวมอญมาตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงสามารถพบเห็นวิถีชีวิตประเพณีเก่าแก่แบบดั้งเดิมของชาวมอญ ณ ที่แห่งนี้ นอกจากนี้ ภาพชินตาอีกหนึ่งอย่างที่พบเห็นได้เสมอ คือ การแต่งกายตามแบบวัฒนธรรมของชาวไทยรามัญ หรือการนำสิ่งของทูนบนศีรษะเดินไปไหนมาไหน
สิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนที่แห่งนี้ นั่นก็คือ การได้ไปยืนเป็นส่วนหนึ่งของ "สะพานไม้สังขละบุรี" หรือ "สะพานอุตตมานุสรณ์" ซึ่งเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย พร้อม ๆ กับเชื่อมโยงสายใยเล็ก ๆ ของสองเชื้อชาติ (ชาวไทยและชาวมอญ) ไว้ด้วยกันอย่างมั่นคง แข็งแรง และนับเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของสังขละบุรี ทำให้ในแต่ละวันมีผู้คนมากมายมาเยี่ยมชมสะพานแห่งนี้ ที่ซึ่งทอดข้ามลำน้ำซองกาเลียท่ามกลางทิวทัศน์ที่งดงาม
หรือนั่งเรือชิล ๆ เพื่อซึมซับทิวทัศน์สองข้างทาง เพื่อชม "เมืองบาดาล" ซึ่ง ในอดีตเป็น วัดวังก์วิเวการาม โดย หลวงพ่ออุตตมะ, ชาวบ้านอพยพ ชาวกะเหรี่ยง และชาวมอญ ได้ร่วมกันสร้างขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2496 ในบริเวณที่เรียกว่า "สามประสบ" ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 มีการก่อสร้าง "เขื่อนเขาแหลม" หรือ "เขื่อนวชิราลงกรณ์" ทำให้น้ำเข้าท่วมตัวอำเภอสังขละบุรีเก่ารวมทั้งวัดนี้ด้วย จึงได้ย้ายวัดมาอยู่บนเนินเขา ส่วนวัดเดิมได้จมอยู่ใต้น้ำมานานนับสิบปี
ทั้งนี้ ในช่วงฤดูแล้งราวเดือนมีนาคม-เมษายน น้ำลดจนสามารถสังเกตเห็นตัวโบสถ์ของวัดได้อย่างชัดเจน และสามารถนั่งเรือไปเที่ยวชมได้ แต่ในช่วงน้ำขึ้นน้ำจะท่วมสูงเกือบทั้งหมดเหลือเพียงยอดของโบสถ์ให้เห็นเท่า นั้น กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีนไทยแลนด์ ในชื่อ "เมืองบาดาล" ด้วย
และปิดท้ายด้วยการไปไหว้ "หลวงพ่ออุตตมะ" ณ วัดวังก์วิเวการาม ซึ่งอยู่เลยจากตัวอำเภอสังขละบุรีไปประมาณ 6 กิโลเมตร เป็นวัดจำพรรษาของ "หลวงพ่ออุตตมะ" พระที่เคารพนับถือของประชาชนชาวไทย ชาวมอญ รวมทั้งชาวกะเหรี่ยงและพม่าที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ภายในวิหารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนอันงดงามชาวบ้าน เรียกกันว่า "หลวงพ่อขาว" และจากวัดวังก์วิเวการามแยกไปอีก 1 กิโลเมตร จะเป็นที่ตั้งของเจดีย์แบบพุทธคยา มีลักษณะฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เป็นกระดูกนิ้วหัวแม่มือขวา ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร บริเวณใกล้เจดีย์มีร้านจำหน่ายสินค้าจากพม่าหลายร้านจำพวกผ้า แป้งพม่า และเครื่องไม้ในราคาย่อมเยา
การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางสองเลนตลอดถึงอำเภอไทรโยค ทางถนนพระบรมราชชนนีหรือเพชรเกษม จากตัวเมืองกาญจนบุรี ใช้เส้นทางหลวง 323 สู่อำเภอไทรโยค อำเภอทองผาภูมิ แล้วเลี้ยวขวาไปอำเภอสังขละบุรี ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานกาญจนบุรี โทรศัพท์ 0-3451-1778, 0-3151-2399 และประชาสัมพันธ์จังหวัดกาญจนบุรี โทรศัพท์ 0-3451-2410, 0-3451-4756
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น