วันอังคาร ที่ 14 มกราคม 2557
Posted by
นายวอร์ วันที่สองของการประกาศ ชัดดาวน์กรุงเทพฯ ของกำนันสุเทพ นับวันที่ 13 ที่ถือเป็นดิถีฤกษ์ในการประกาศสงครามล้างพันธุ์นักการเมืองและตระกูลชั่วที่ พยายามครอบครองประเทศมานานนับสิบปีถือเป็นเรื่องที่ต้องลุ้นกันแบบวันต่อ วัน!
เพราะนี่คือนวัตกรรมทางการเมืองใหม่ที่ประเทศไทยยังและอีกหลายประเทศคงต้อง ถือเป็นโมเดลและแบบเรียนด้านประวัติศาสตร์ทางการเมืองว่าการล้มระบอบอัน ฉ้อฉลและคนโกงประเทศด้วยสมอง, สองเท้าก้าวเดินและมือเปล่า ๆ นั้นจะสามารถสยบความเลวร้ายของระบอบการเมืองชั่วช้าให้สิ้นไปได้ในโลกในแห่ง ความเป็นจริง?
คุณสุเทพ..ประกาศชัดและหาญกล้าท้าทายว่า...เค้าและ “คนไทย” จะทำให้ทั่วโลกเห็นว่า “สิ่งนี้เกิดขึ้นได้จริง”
วันนี้วันที่สองของการที่ประตูกรุงเทพฯที่เคยเป็นศูนย์บัญชาการสกปรกโสมมของ ระบบการเมืองชั่ว,และบรรดาหัว ๆ ของเหล่าข้าราชการเลว ที่เคยรุ่งโรจน์กำลังอับแสงและอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด
ในขณะที่ หลังการประกาศให้ กำนันสุเทพ กลายเป็นบุคคลแห่งปี! ... ยิ่งทำให้ความหึกเหิมในการศึกของกำนันสุเทพครั้งนี้ยิ่งแรงขึ้นในระดับ อินเตอร์เข้าทุกที
ถ้าเปรียบเป็นมวย...นาทีนี้ "กำนันเต๊ป" ไม่ต่างกับมวยที่ยิ่งชกตัวยิ่งใหญ่...จนเซียนรองยังส่ายหน้าไม่กล้าเล่น!
ข้า ราชการน้ำดีที่เคยถูกระบบทรามกดทับ...ซึ่งไม่ต่างอะไรกับคนที่ถูกขังอยู่ใน คุกมืดมองไม่เห็นแสงสว่าง เมื่อมีคนเริ่มมาทุบกำแพงคุกให้แสงภายนอกส่องเข้ามา..สิ่งแรกที่คนเหล่านี้ มีปฎิกริยาให้แก่แรงกายคือ “แอดรีเนอรีล” ที่ส่งแรงขับเพื่อให้สมองเริ่มปรับตัวและมีความหวังอย่างตื่นเต้น!
ระดับความกล้าของข้าราชการ..ระบบที่ตกอยู่ใต้อาณัติของนักการเมืองมาตลอด ระยะเวลานับแต่ครั้ง พ.ศ. 2475 วันนี้เริ่มมีความหวังที่จะมองเห็นว่าวันนี้ตนเองนั้นมี “คุณค่า” สำหรับแผ่นดินและคนไทย มากกว่าจะเป็น “ขี้ข้า” ของพวกนักการเมืองขี้ครอกกันเสียที
การประกาศสลัดโซ่ตรวนพันธการทาสของ ปลัด สธ. คุณหมอณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ซึ่งต้องถือเป็นต้นแบบที่ช๊อควงการราชการ แบบที่เกิดขึ้นได้ยากเย็น แต่นับได้ว่าเป็น ต้นแบบแห่งการประกาศชัยชนะของ “ข้าราชการ” ตามความหมายชื่ออย่างน่ายกย่อง
สิ่งที่จะตามมาในวัฒนธรรมการเอาเยี่ยงของคนไทย ...คือ "มึงลองก่อน! " กำลังจะตามมา
ซึ่งไม่นานนับหลังจาก สถานะของการต่อสู้เริ่มเห็นได้ชัดแล้วว่า ใครจะอยู่..ใครจะไป จากนี้เราก็จะได้เห็น “ข้าราชการระดับสูง “อีกหลายคน จะเริ่มเรียนรู้และปรับตัวเพื่อเหตุผลหลายอย่าง!
ทั้งแบบ “เอาตัวรอด” และ “เต็มใจสู้” ก็จะตามมาในไม่ช้า
เรื่อง “แพ้” นั้น มาถึงวันนี้ คงไม่ต้องถาม หมออีที ..อีทอย ที่ไหนให้เปลืองกะตังค์ เพราะถือเป็นชั่วโมงและเวลาทองของ “ลุงกำนัน” เขาไปแล้ว
การ ปิดกระทรวง..ทบวง กรมสำคัญๆ เพียงแค่วันนี้ก็พอเห็นลางร้ายของ “ยิ่งลักษณ์และเพื่อนพ้อง” ว่าอนาคตอันใกล้นี้ เธอจะพำนักเอาหัวซุกนอนกันที่ไหน? เพราะภาคกลาง,ภาคใต้ คงไร้ที่ซึ่งปลอดภัยสำหรับเธอและผองเพื่อนอย่างถาวรไปซะแล้ว
นี่จึงไม่แปลกทีว่า ...เหตุใด จุตพร,ณัฐวุฒิ และเหล่าขี้ข้า จึงพาเหรดกันไปสุมหัวรอกันที่ เหนือและอีสาน !
เพราะว่าอย่างน้อยสองภาคนี้ยังถือเป็น ที่มั่นสุดท้ายก่อนผ่องถ่าย..หลบลี้หนีทั้งลาว.ทั้งพม่า แบบตัวใครตัวมันในที่สุดได้ทันหากถึงเวลา
เกมสุดท้ายที่ทักษิณ...และเหล่าเสื้อแดงที่กำลังแสงอับกำลังคาดหวังในเวลานี้ก็คือ การให้เกิดการปฎิวัติรัฐประหารจากทหาร!
การประกาศจับตัวลูกสาวแฝดของ ผบ.ประยุทธ จันทร์โอชา ของนายสุดชาย ที่กำลังจะหนาวตายวันนี้ ถือเป็นหนึ่งในผลของการยุยง ปลุกปั่นทุกวิถีทางให้ทหารโกรธและเพิ่มดีกรีให้ทหารฟิวส์ขาด ออกมาฟาดงวงฟาดงาแบบที่เคย ซึ่งนั้นถือว่า เป็นเกมของทักษิณและลิ่วล้อที่จะสามารถพัฒนาการไปสู่การนำเสื้อแดงที่บ้า คลั่งประชาธิปไตย ออกมาตายเป็นเบือเพราะทหารและพาลไปสู่การดึงเอาต่างชาติอย่าง UN เข้าควบคุมและแทรกแซงประเทศ และเข้าดูแลทุกอย่าง ...นั่นเป็นทางสุดท้ายของทักษิณ.... จริง ๆ
ในหลาย ๆ หมู่บ้านของ อีสาน...เหนือ จะมีป้ายเขียนปลุกเร้าชาวบ้านในพื้นที่ ในทำนอง ถ้า “เทพเทือกชนะ...กูจะแยกประเทศ” จึงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่เป็นแผนที่ทักษิณและแกนนำวางไว้อย่างนั้นจริง ๆ
กระบวนการแยกประเทศ ไทยเหนือ-อีสาน กับ กลาง-ใต้ และเป้าหมาย "รัฐบาลพลัดถิ่น" จึงเป็นเรื่องจริงที่ทหารเข้าใจในเกมศึกนี้..และไม่หลงกลติดกับแก๊งค์เลวเหล่านี้
ไม่ว่าจะเปลี่ยนเสื้อกี่สี...แต่สันดานกากีประจำแผ่นดิน และสนิมร้ายที่เกาะในจิตใจที่กล้าทำร้ายทำลายแผ่นดินเกิด แบบนี้ สิ่งที่อยากฝากบอกก็คือ .... ทหารไม่โง่...คนไทยไม่งี่เง่า มีแต่รอวันดูแก๊งค์พวกนี้ อับเฉาและกลายแค่เป็น “เห็บเหา” ที่แผ่นดินไทยไม่ต้องการในเวลาไม่ช้านับจากนี้
เมื่อครั้งบรรพชนคนรุ่นปู่ทวดที่มือถือดาบคมกริบเข้าห้ำหั่นกับอริราชศัตรู ...เราคงไม่รู้ในหัวใจของคนไทยวันนั้นว่า เหตุใดถึงกล้าที่จะยอมเอาร่างกายที่เป็นหุ้นส่วนของปู่ย่าตาทวดและยอมพลีอก อุ่นที่เคยมอบให้เมียและลูกรักไปรับคมดาบ..คมหอกของศัตรูเพียงเพื่อคำว่า “ชาติ” และ “แผ่นดิน”
และวันนี้...หลายคนที่นั่งรถ..นอนเรือ หรืออย่างผู้สูงวัยที่เจ็บเข่าปวดคอ แต่ยังพอมีเงินก็นั่งเครื่องบินมาร่วมกันขับไล่ พวกทุรยศ..เดนการเมืองให้ออกไปจากระบอบและประเทศ คนเหล่านี้ คงได้เข้าใจกันแล้วว่างกับ...คำว่า ความเชื่อของการ "ตายเพื่อชาติ" ของบรรพชนวันนั้นคงไม่ต่างหัวใจเสียสละของ "กูจะสู้เพื่อปกป้องแผ่นดิน" ของคนไทยในวันนี้มันคล้ายกันเพียงใด?
อานิสงส์..รักชาติ ..ชูแผ่นดิน และหวงแหนไว้สิ้นซึ่ง “มหากษัตราธิราชเจ้า” จึงเป็นเรื่องเดียวกันที่ต่างยุค..ต่างสงคราม แต่ยังไม่ต่าง "ความหมาย"
วันนี้....ทหารไทย "ตาสว่าง" และ “รับรู้” แล้วว่า ตัวตนหนแห่งของกองทัพควรเดินอย่างไรและวางไว้ตรงไหนในใจประชาชน
คงเหลือแต่เหล่า พี่น้องตำรวจ ที่ยังยากจนปัญญาเพราะมีผู้นำทุรยศ...ซึ่งต้องให้กำลังใจเพื่อให้สามารถมอง หาแสงสว่างที่แท้และแยกแยะได้จริงว่า ฝ่ายใดคือ “ประชาชน” ฝ่ายไหนคือ “คนเลว”
ถ้าแยกได้..... ตำรวจไทย จะกลายเป็น “ตาสว่างก่อนตาย” (ซึ่งก็เริ่มเห็นมากขึ้นนับแต่ ข้อเท็จจริงมันชัดแล้วว่า คนฆ่าตำรวจมันอยู่บนตึก!)
แต่หากยังขืนไม่ฟังหน้า..ดูหลัง ก้มหน้างมโข่ง. ...รับใช้ ระบอบทักษิณ และ “นาย” เพียงไม่กี่ตน .แบบนี้ประชาชนก็คงถึงเวลาสุดทน ที่จะเปลี่ยนทั้งหมดให้เป็น “ตะกวด” แล้วเลือกสรรหา “คนจริงๆ” มาเป็น “ตำรวจไทยแห่งแผ่นดิน” ในยุคที่กำลังจะมาถึงแทนในที่สุดนี้!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น