วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

1 ตุลาคม ของทุกปีเป็น “วันชาติจีน” ซึ่งเป็นวันที่สถาปนา “ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน” หรือเรียกย่อว่า “ประเทศจีน”
     เดือนตุลาคม ทั้งอดีตและปัจจุบันมีวันสำคัญของคนจีนอยู่ 2 วัน คือ
     วันที่ 1 ตุลาคม เป็นวันชาติของ“จีน” ซึ่งเป็นวันที่พรรคคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของ“เหมา เจ๋อ ตง” สถาปนา “ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน” (The People’s Republic of China)
     วันที่ 10 ตุลาคม เป็นวันชาติของ “ไต้หวัน” ซึ่งเป็นวันที่พรรคประชาชาติจีน(กั๋วหมินตั่ง)สถาปนา “ประเทศสาธารณรัฐจีน”  (The Republic of China)
     ย้อนกลับไปเมื่อสมัยราชวงศ์ชิง จีนปกครองในรูปแบบ “คาบลูกคาบดอก”เรียกกันว่าระบอบ “ครึ่งชาติ-ศักดินา” ชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนมีความทุกข์ยาก จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น จึงประกาศให้ระบอบ “ครึ่งชาติ-ศักดินา” สิ้นสุดลง
     ต่อมาปี 1911 ภายใต้การนำของบิดาแห่งประเทศจีน  “ดร. ซุน ยัด เซน” ประธานพรรคประชาชาติจีน ได้สถาปนา “ประเทศสาธารณรัฐจีน”
     แต่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของประชาชน
     หลังจาก “ซุน ยัด เซน”ถึงแก่กรรม ได้เกิดปัญหาการแย่งชิงอำนาจในพรรค และประสบความล้มเหลวในการบริหารบ้านเมือง
     ล่าสุด พรรคคอมมิวนิสต์จีน ภายใต้การนำของ “เหมา เจ๋อ ตง” ประธานพรรค และผู้รักชาติกลุ่มหนึ่ง ร่วมกันต่อสู้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมือง และได้ร่วมกันก่อตั้ง “ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน” เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1949
     จึงถือวันที่  “1 ตุลาคม” ของทุกปีเป็น “วันชาติประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน”
     เมื่อประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนแจ้งเกิดแล้ว ทหารและนักการเมืองที่พ่ายแพ้จากการสู้รบจึงหลบหนีไปที่ “เกาะไต้หวัน”
     ต่อมาภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลสรัฐฯ ได้ใช้อาวุธเป็นกำลังแบ่งแยกเกาะไต้หวัน โดยปราศจากเหตุผลทางภูมิศาสตร์ และปัญหา “ช่องแคบไต้หวัน”ก็ได้อุบัติขึ้น
     พรรคประชาชาติจีน  ภายใต้ชื่อรัฐบาล “ประเทศสาธารณรัฐจีน” ภายใต้การนำของ “เจึยง ไค เช็ค”ทำการบริหารไต้หวัน โดยได้เข้าเป็นสมาชิกสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ
     และกำหนดให้วันที่ “10 ตุลาคม”ของทุกปีเป็น“วันชาติประเทศสาธารณรัฐจีน”
     เมื่อ”สาธารณรัฐประชาชนจีน”เข้าเป็นสมาชิกสมัชชาใหญ่ สหประชาชาติปี 1971 “สาธารณรัฐจีน”ของไต้หวันก็สิ้นสุดลง
     เพราะ“ไต้หวัน”เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน จึงไม่มีอธิปไตยของการเป็นประเทศ 
     วันที่ 10 ตุลาคม ปัจจุบันเรียกว่า “วันชาติไต้หวัน”
     ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดคือการเปิดประตูสู่โลกของจีนเมื่อ 1978 
     ปีแรกของการปฏิรูปทุกอย่างเริ่มต้นที่ศูนย์ และสามารถก้าวสู่เวทีสากลโดยยึดถือ “คติพจน์”ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนคือ “เอาความจริงไม่สร้างภาพ”   
     บัดนี้ คนจีนส่วนหนึ่งจากจำนวนประชากรทั่วประเทศประมาณ 1,300กว่าล้านคนได้หลุดพ้นจากความยากจนและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตาม ลำดับ
     วิกฤตเศรษฐกิจเอเชีย 1997 จีนได้กู้สถานการณ์ไว้ จากหนักให้เป็นเบา และเมื่อเดือนกันยายน 2008 เศรษฐกิจที่วอลสตรีตพังทลายลง จีนใช้มาตรการลงทุนจำนวน 4 ล้านล้านหยวน เพื่อทำการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และสัมฤทธิผล ทำให้ชาวโลกพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย
     ปัจจุบันจีนมีบทบาทต่อชาวโลกมาก เกือบทุกประเทศในโลกได้ให้ความสำคัญแก่จีน ปัจจุบันจีนเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของสมัชชาใหญ่สหประชาชาติแล้ว เมื่อจีนโตขึ้น ถนนทุกสายก็มุ่งสู่จีน
     ไม่ว่าการประชุมใดในโลกต้องมีจีนร่วมด้วย ไม่ว่าปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ผู้ก่อการร้าย ลูกตายเมียหายควายเจ็บ ต้องมีจีนร่วม “ผ้าป่า” ฉะนั้น จีนยามนี้ “งานเข้า”
     63 ปีที่ผ่านมา จีนมีความก้าวหน้าในหลายด้าน อาทิ เป็นผู้ส่งออกสินค้าใหญ่ที่สุดในโลก มีเงินทุนสำรองต่างประเทศเป็นอันดับ 1 ของโลก ความเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศสูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วหลายเท่าตัว
     สิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลกคือ สร้างเขื่อนไตรผา จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ส่งยานเสินโจวท่องอวกาศ จัดงานเซี่ยงไฮ้เอ็กซโปร์ ฯลฯ
     แต่รายได้ประชาชาติของจีนยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ ล้าหลังกว่าสหรัฐฯเกือบ 100 เท่าตัว และเท่ากับ 1/10 ของญี่ปุ่น รายได้ของเกษตรกรยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก จีนจึงต้องใช้เวลาอีกนานในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่และสร้างรายได้ของ ประชากร
     แม้ว่าปัจจุบัน ดูจากเปลือกนอกจีนมีฟอร์มสด แต่ภายในจีนยังมีปัญหาอีกมาก เป็นต้นว่า ระบบนิติรัฐล้าหลัง ข้าราชการฉ้อราษฎ์บังหลวง คดีลัก วิ่ง ชิงปล้นเกิดขึ้นอย่างดาษดื่น ธนบัตรปลอมเต็มตลาด พ่อค้าขาดคุณธรรม นักธุรกิจทำลายวินัยทางการค้า สินค้าราคาถูกคุณภาพต่ำ สินค้าแปลกปลอม สินค้าหนีภาษี ฯลฯ
     นอกจากนี้ การทำธุรกิจหรือติดต่อราชการที่เมืองจีนต้องใช้ระบบ “กวนซี” ( 关系) คือ “ความสัมพันธ์” การติดต่องานส่วนใหญ่ต้องอาศัยความสัมพันธ์กับคน “ข้างใน”เพื่อให้ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อ งานจึงจะสำเร็จ การช่วยเหลือก็ต้องมี “ปัจจัย”เข้ามาเกี่ยวข้อง
     ฉะนั้น ที่เมืองจีน “know who” จึงมีความสำคัญกว่า “know-how”และ “The  Man”มีความสำคัญกว่า “The  Law” แม้ไม่สามารถ “break the law”แต่  “bend the law” ได้
     อย่างไรก็ตาม 63 ปีของจีนไม่ธรรมดา คนจีน 56 เผ่าพันธุ์ยึดถืออุดมการของพรรคอย่างเคร่งครัดและสืบทอดเจตนารมณ์ของอดีตผู้ นำสูงสุด โดยได้ร่วมกัน “สื่อสารถักทอ” และ “พัฒนาประเทศ” จนบรรลุเป้าหมาย ทำให้ประเทศจีนได้รับความสำเร็จระดับหนึ่ง เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ทั้งนี้ เพราะเกิดจากความเป็น “เอกภาพ”ของคนในชาติอย่างแท้จริง เป็นความภูมิใจและเป็นศักดิ์ศรีของคนจีน 56 เผ่าพันธุ์
     รัฐบาลไทยเลียนแบบการบริหารและพัฒนาประเทศของจีนได้ เพราะไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น