1 ตุลาคม ของทุกปีเป็น “วันชาติจีน” ซึ่งเป็นวันที่สถาปนา “ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน” หรือเรียกย่อว่า “ประเทศจีน”
เดือนตุลาคม ทั้งอดีตและปัจจุบันมีวันสำคัญของคนจีนอยู่ 2 วัน คือ
วันที่ 1 ตุลาคม
เป็นวันชาติของ“จีน” ซึ่งเป็นวันที่พรรคคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของ“เหมา
เจ๋อ ตง” สถาปนา “ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน” (The People’s Republic of
China)
วันที่ 10 ตุลาคม เป็นวันชาติของ
“ไต้หวัน” ซึ่งเป็นวันที่พรรคประชาชาติจีน(กั๋วหมินตั่ง)สถาปนา
“ประเทศสาธารณรัฐจีน” (The Republic of China)
ย้อนกลับไปเมื่อสมัยราชวงศ์ชิง
จีนปกครองในรูปแบบ “คาบลูกคาบดอก”เรียกกันว่าระบอบ “ครึ่งชาติ-ศักดินา”
ชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนมีความทุกข์ยาก
จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น
จึงประกาศให้ระบอบ “ครึ่งชาติ-ศักดินา” สิ้นสุดลง
ต่อมาปี 1911 ภายใต้การนำของบิดาแห่งประเทศจีน “ดร. ซุน ยัด เซน” ประธานพรรคประชาชาติจีน ได้สถาปนา “ประเทศสาธารณรัฐจีน”
แต่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของประชาชน
หลังจาก “ซุน ยัด เซน”ถึงแก่กรรม ได้เกิดปัญหาการแย่งชิงอำนาจในพรรค และประสบความล้มเหลวในการบริหารบ้านเมือง
ล่าสุด พรรคคอมมิวนิสต์จีน
ภายใต้การนำของ “เหมา เจ๋อ ตง” ประธานพรรค และผู้รักชาติกลุ่มหนึ่ง
ร่วมกันต่อสู้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมือง และได้ร่วมกันก่อตั้ง
“ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน” เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1949
จึงถือวันที่ “1 ตุลาคม” ของทุกปีเป็น “วันชาติประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน”
เมื่อประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนแจ้งเกิดแล้ว ทหารและนักการเมืองที่พ่ายแพ้จากการสู้รบจึงหลบหนีไปที่ “เกาะไต้หวัน”
ต่อมาภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลสรัฐฯ
ได้ใช้อาวุธเป็นกำลังแบ่งแยกเกาะไต้หวัน โดยปราศจากเหตุผลทางภูมิศาสตร์
และปัญหา “ช่องแคบไต้หวัน”ก็ได้อุบัติขึ้น
พรรคประชาชาติจีน
ภายใต้ชื่อรัฐบาล “ประเทศสาธารณรัฐจีน” ภายใต้การนำของ “เจึยง ไค
เช็ค”ทำการบริหารไต้หวัน โดยได้เข้าเป็นสมาชิกสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ
และกำหนดให้วันที่ “10 ตุลาคม”ของทุกปีเป็น“วันชาติประเทศสาธารณรัฐจีน”
เมื่อ”สาธารณรัฐประชาชนจีน”เข้าเป็นสมาชิกสมัชชาใหญ่ สหประชาชาติปี 1971 “สาธารณรัฐจีน”ของไต้หวันก็สิ้นสุดลง
เพราะ“ไต้หวัน”เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน จึงไม่มีอธิปไตยของการเป็นประเทศ
วันที่ 10 ตุลาคม ปัจจุบันเรียกว่า “วันชาติไต้หวัน”
ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดคือการเปิดประตูสู่โลกของจีนเมื่อ 1978
ปีแรกของการปฏิรูปทุกอย่างเริ่มต้นที่ศูนย์
และสามารถก้าวสู่เวทีสากลโดยยึดถือ “คติพจน์”ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนคือ
“เอาความจริงไม่สร้างภาพ”
บัดนี้
คนจีนส่วนหนึ่งจากจำนวนประชากรทั่วประเทศประมาณ
1,300กว่าล้านคนได้หลุดพ้นจากความยากจนและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตาม
ลำดับ
วิกฤตเศรษฐกิจเอเชีย 1997
จีนได้กู้สถานการณ์ไว้ จากหนักให้เป็นเบา และเมื่อเดือนกันยายน 2008
เศรษฐกิจที่วอลสตรีตพังทลายลง จีนใช้มาตรการลงทุนจำนวน 4 ล้านล้านหยวน
เพื่อทำการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และสัมฤทธิผล
ทำให้ชาวโลกพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย
ปัจจุบันจีนมีบทบาทต่อชาวโลกมาก
เกือบทุกประเทศในโลกได้ให้ความสำคัญแก่จีน
ปัจจุบันจีนเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของสมัชชาใหญ่สหประชาชาติแล้ว
เมื่อจีนโตขึ้น ถนนทุกสายก็มุ่งสู่จีน
ไม่ว่าการประชุมใดในโลกต้องมีจีนร่วมด้วย ไม่ว่าปัญหาเศรษฐกิจ สังคม
การเมือง วัฒนธรรม ผู้ก่อการร้าย ลูกตายเมียหายควายเจ็บ ต้องมีจีนร่วม
“ผ้าป่า” ฉะนั้น จีนยามนี้ “งานเข้า”
63 ปีที่ผ่านมา
จีนมีความก้าวหน้าในหลายด้าน อาทิ เป็นผู้ส่งออกสินค้าใหญ่ที่สุดในโลก
มีเงินทุนสำรองต่างประเทศเป็นอันดับ 1 ของโลก
ความเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศสูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วหลายเท่าตัว
สิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลกคือ
สร้างเขื่อนไตรผา จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ส่งยานเสินโจวท่องอวกาศ
จัดงานเซี่ยงไฮ้เอ็กซโปร์ ฯลฯ
แต่รายได้ประชาชาติของจีนยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ ล้าหลังกว่าสหรัฐฯเกือบ 100
เท่าตัว และเท่ากับ 1/10 ของญี่ปุ่น
รายได้ของเกษตรกรยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก
จีนจึงต้องใช้เวลาอีกนานในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่และสร้างรายได้ของ
ประชากร
แม้ว่าปัจจุบัน
ดูจากเปลือกนอกจีนมีฟอร์มสด แต่ภายในจีนยังมีปัญหาอีกมาก เป็นต้นว่า
ระบบนิติรัฐล้าหลัง ข้าราชการฉ้อราษฎ์บังหลวง คดีลัก วิ่ง
ชิงปล้นเกิดขึ้นอย่างดาษดื่น ธนบัตรปลอมเต็มตลาด พ่อค้าขาดคุณธรรม
นักธุรกิจทำลายวินัยทางการค้า สินค้าราคาถูกคุณภาพต่ำ สินค้าแปลกปลอม
สินค้าหนีภาษี ฯลฯ
นอกจากนี้
การทำธุรกิจหรือติดต่อราชการที่เมืองจีนต้องใช้ระบบ “กวนซี” ( 关系) คือ
“ความสัมพันธ์” การติดต่องานส่วนใหญ่ต้องอาศัยความสัมพันธ์กับคน
“ข้างใน”เพื่อให้ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อ งานจึงจะสำเร็จ การช่วยเหลือก็ต้องมี
“ปัจจัย”เข้ามาเกี่ยวข้อง
ฉะนั้น ที่เมืองจีน “know who”
จึงมีความสำคัญกว่า “know-how”และ “The Man”มีความสำคัญกว่า “The Law”
แม้ไม่สามารถ “break the law”แต่ “bend the law” ได้
อย่างไรก็ตาม 63
ปีของจีนไม่ธรรมดา คนจีน 56
เผ่าพันธุ์ยึดถืออุดมการของพรรคอย่างเคร่งครัดและสืบทอดเจตนารมณ์ของอดีตผู้
นำสูงสุด โดยได้ร่วมกัน “สื่อสารถักทอ” และ “พัฒนาประเทศ” จนบรรลุเป้าหมาย
ทำให้ประเทศจีนได้รับความสำเร็จระดับหนึ่ง เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
ทั้งนี้ เพราะเกิดจากความเป็น “เอกภาพ”ของคนในชาติอย่างแท้จริง
เป็นความภูมิใจและเป็นศักดิ์ศรีของคนจีน 56 เผ่าพันธุ์
รัฐบาลไทยเลียนแบบการบริหารและพัฒนาประเทศของจีนได้ เพราะไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น