ญี่ปุ่นทำ"อัตวินิบาตกรรม" เพราะเกาะๆเดียว
updated: 12 ต.ค. 2555 เวลา 15:10:35 น.
บทความพิเศษชยานันต์
ศุกลวณิช Chayanand1@hotmail.comผลจากการซื้อเกาะ มีขันติเพียงชั่วครู่ พายุและคลื่นก็สงบ ยอมถอยเพียงหนึ่งก้าว ทะเลกว้างนภาสดใส
ขันติ คือความอดกลั้นต่อสิ่งที่ไม่พอใจ เป็นคติเตือนใจให้ระงับอารมณ์โกรธเกลียด
การแก้ปัญหาต้องแก้ด้วยเหตุผล ไม่ใช่แก้ด้วยอารมณ์ เพราะอารมณ์แก้ปัญหาไม่ได้
เหตุการณ์แย่ง "เกาะเตี้ยวอี๋" (Diaoyu Island) ระหว่างจีน-ญี่ปุ่นครั้งนี้ จีน "เล่นแรง" เป็นประวัติการณ์
แรงกระทั่งคนจีนลืมคำว่า "ขันติ" ซึ่งเป็นหัวใจของวัฒนธรรมจีน
ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจคำว่า "เกาะเตี้ยวอี๋" ซึ่งมาจากภาษาจีน ??? อ่านว่า "เตี้ยวอี๋เต่า" ?? อ่านว่า "เตี้ยวอี๋" แปลว่าตกปลา ? อ่านว่า "เต่า" แปลว่าเกาะ เมืองจีนเรียกว่า "เตี้ยวอี๋เต่า" ภาษาอังกฤษเรียกทับศัพย์ว่า "Diaoyu Island" หรือแปลตรงตัวว่า "Fishing Island" ภาษาไทยแปลเองว่า "เกาะตกปลา" คำว่า "เกาะเตี้ยวอี๋" เป็นพันธุ์ผสมระหว่างไทยกับจีนกลาง
คนจีนและรัฐบาลจีนลืม "ขันติ" จนสติแตก แตกจนมีการประท้วงขึ้นอย่างรุนแรง แรงถึงขั้นเอาเป็นเอาตาย พฤติการณ์ของจีนเสมือนผู้ใหญ่รังแกเด็ก น่ารังเกียจ
รัฐบาลจีนขาดความยั้งคิด ทำเกินขอบเขต เป็นการทำลายเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของประเทศใหญ่ คนจีนทั้งแผ่นดินใหญ่และไต้หวันก็รักชาติจนสติแตกเช่นกัน
โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนแถลงว่า
"วันที่21กันยายน มีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลญี่ปุ่นได้ขึ้นไปบน "เกาะเตี้ยวอี๋" เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่รักษาเกาะของไต้หวันขึ้นไปบนเกาะ พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยแห่งดินแดนของจีน รัฐบาลจีนขอคัดค้านการกระทำของญี่ปุ่น ขอให้ญี่ปุ่นยุติการกระทำที่เกี่ยวกับการทำลายอธิปไตยแห่งดินแดนโดยพลัน และจีนจะใช้มาตรการเฉียบขาดเพื่อการปกป้องอธิปไตยแห่งดินแดนของเกาะแห่งนี้ต่อไป"
ญี่ปุ่นนอกจากมีปัญหาเรื่องแย่งชิง "เกาะเตี้ยวอี๋" กับจีน ยังมีปัญหาแย่ง "เกาะ" อื่นๆ กับเกาหลีและรัสเซีย ไม่ว่าการแย่งเกาะเตี้ยวอี๋ หรือเกาะต่างๆ รัฐบาลญี่ปุ่นล้วนตกเป็น "รอง" วันนี้ญี่ปุ่นมีปัญหาทั้งนอกและใน
ในคือ เรื่องเศรษฐกิจถดถอย ปัญหาไฟฟ้านิวเคลียร์ จากการสำรวจประชามติของญี่ปุ่นปรากฏว่า รัฐบาลได้รับการสนับสนุนจากประชาชนลดน้อยถอยลง
นอกคือ ความเชื่อถือในระดับสากล เริ่มเกิด "คำถาม" ขึ้นจากกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก
ท่ามกลางภาวะเช่นนี้ "โยชิฮิโกะ โนดะ" นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นยังเล่น "เดิมพันทางการเมือง" โดยการ "ซื้อเกาะ" เชื่อกันว่าเป็นการ "เบี่ยงเบนประเด็น" คือประเด็นที่คนญี่ปุ่นไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาล ซึ่งหมายความรวมทั้งการสนับสนุนสหรัฐให้กลับสู่ภูมิภาคเอเชียด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการ "ซื้อเกาะ" ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงาน "ผ้าป่า" กับสหรัฐ ล้วนไม่บังเกิดผล เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นประเมินสถานการณ์ผิดพลาด
ประการหนึ่ง การ "ซื้อเกาะ" ของ "โนดะ" นั้น รัฐบาลจีนใช้มาตรการตอบโต้อย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่จะรุนแรงได้ เป็นเหตุให้ญี่ปุ่นต้องเข้าสู่วิกฤตรอบใหม่
อีกประการหนึ่ง ญี่ปุ่นไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอย่างแท้จริง
ผลลัพธ์ที่ญี่ปุ่นจะได้นั้นคือ ศัตรูเกิดขึ้นรอบด้าน ความเชื่อถือระดับสากลขาดหายไป
ญี่ปุ่นใช้วิธีการ "ทำลายเศรษฐกิจ" มาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จึงเสมือน "ผีซ้ำด้ำพลอย"
วันเวลาผ่านไปมากขึ้นปัญหาก็มากขึ้นตาม เพราะจีนใช้มาตรการต่อต้านที่รุนแรงยิ่ง
รุนแรงที่ใช้มาตรการ "Boycott" คือไม่ซื้อสินค้าญี่ปุ่น และไม่ขายสินค้าให้ญี่ปุ่น
เป็นเหตุให้ "ส่วนแบ่งตลาด" ของญี่ปุ่นในจีนลดลงไปตามลำดับ ธุรกิจของเกาหลีสหรัฐ และกลุ่มประเทศยุโรปค่อยๆ ทยอยเข้าแทนที่ตลาดของจีน
ก่อนเกิดเหตุแย่งชิง "เกาะเตี้ยวอี๋" จีนเป็นประเทศคู่ค้าใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น คือจีนซื้อสินค้าจากญี่ปุ่นมากเป็นอันดับที่ 1 ของโลก แต่ญี่ปุ่นซื้อสินค้าจากจีนเป็นอันดับที่ 4 ของโลก ความขัดแย้งเรื่อง "ซื้อเกาะ" อาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้ญี่ปุ่นต้องสูญเสีย "ลูกค้าใหญ่สุด" ไป
วิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาหนี้สินสหรัฐและยุโรป ญี่ปุ่นย่อมต้องได้รับผลกระทบจากการนั้น เพราะเนื่องเกิดจากขาดกำลังซื้อของสหรัฐและประเทศยุโรป
ความถดถอยทางเศรษฐกิจเริ่มปรากฏขึ้น เริ่มสดุดหยุดอยู่ เป็นเรื่องอันตราย
บวกกับรัฐบาลจีนได้ใช้มาตรการ "ตอบโต้" นายกฯ ญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นที่เกิดวิกฤตอยู่ยิ่งวิกฤตหนักขึ้นและมากขึ้นตามลำดับ ญี่ปุ่นยามนี้อันตรายจริงๆ
วันนี้ความร่วมมือกันทางเศรษฐกิจจีน-ญี่ปุ่นถูกทำลายแล้ว
ไม่เพียงแต่กระทบถึงจีน-ญี่ปุ่น หากกระทบถึงภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตลอดจนการฟื้นตัวของวิกฤตเศรษฐกิจโลกด้วย
ญี่ปุ่นเล่นเรื่อง "ซื้อเกาะ" ในยามนี้ ไม่ได้ประโยชน์ กลับเป็นโทษอย่างมหันต์
ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ รวมทั้งอินเดีย รัสเซีย ออสเตรเลีย ด้วยล้วนทราบว่า เนื้อแท้ของสหรัฐที่ "กลับเอเชียแปซิฟิก" อีกวาระหนึ่ง คือหวังผลทางการเมืองและเศรษฐกิจ ทั้งนี้ โดยการยุแหย่ให้ประเทศเอเชียแปซิฟิกให้แตกแยก และแล้วสหรัฐก็จะได้ประโยชน์จากการนั้น
กลยุทธ์ "เสี้ยมเขาควายให้ชนกัน" ทำให้เกิดปัญหาแย่งชิง "เกาะเตี้ยวอี๋" และเกาะต่างๆ
กระนั้น กลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่ก็ยังร่วมด้วยช่วยกัน
"โยชิฮิโกะ โนดะ" นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นความจริงใจของสหรัฐ จึงได้ตัดสินใจ "ซื้อเกาะ" ด้วยจำนวนเงิน 2.05 พันล้านเยน กรณีจึง "เข้าล็อก" สหรัฐ
ฝีมือ "เสี้ยมเขาควายให้ชนกัน" ของสหรัฐ จึงทำให้ญี่ปุ่นเข้าสู่ "ทางตัน"
เป็นทางตันที่ทำให้จีน-ญี่ปุ่น เกิด "เหตุการณ์ 918" รอบใหม่ที่ต้องจารึกในประวัติศาสตร์
"เหตุการณ์ 918" รอบก่อนเกิดขึ้นวันที่ 18 กันยายน 1931 โดยเกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง ญี่ปุ่นยกทัพบุกรุกโจมตีมณฑลเสิ่นหยาง สงครามขนาดเล็กเกิดขึ้นโดยพลัน
การที่สหรัฐต้อนให้ญี่ปุ่นเข้าสู่ "ทางตัน" นั้น ญี่ปุ่นเสียหาย สหรัฐได้ประโยชน์
ปัญหาความขัดแย้ง "เกาะเตี้ยวอี๋" มีมาหลายทศวรรษ แต่หลังจากที่จีน-ญี่ปุ่นได้มีการสถาปนาทางการทูตเมื่อทศวรรษที่ 70 แล้ว เรื่องความขัดแย้งแย่งชิงเกาะได้พักเอาไว้อย่างไม่มีกำหนด
การ "พักแย่งชิงเกาะ" ไว้อย่างไม่มีกำหนด เป็นการสร้าง "โอกาสทอง" ให้แก่ทั้งสองประเทศในการพัฒนาทั้งเศรษฐกิจและการค้า และมีความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง
แต่วันนี้ต้อง "สดุด" สดุดเพราะเกิดจากการขัดขืนอารยธรรมของ "โนดะ"
ขัดขืนเพราะตัดสินใจ "ซื้อเกาะ" การซื้อเกาะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด
จึงไม่แปลกที่จีนตอบโต้ด้วยมาตรการ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" งานนี้ญี่ปุ่นเจ็บแน่
การซื้อเกาะของญี่ปุ่นเป็น "fermentation" ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ และดำรงอยู่บนเส้นทางที่กระทบต่อญี่ปุ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดการปะทะกันขึ้นในทางการทหารระหว่างญี่ปุ่นและจีน
และในที่สุดญี่ปุ่นก็ต้องได้รับความเดือดร้อนเพราะจีนเป็นตลาดการค้าที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นและญี่ปุ่นก็ถือว่าจีนเป็น "ที่พึ่ง" ของญี่ปุ่น และคงยากแก่การกลับสู่สภาพเดิม
ตัวเลขจากสมาคมผลิตรถยนต์ของจีนปรากฏว่า วันนี้ยอดขายรถยนต์ "ตระกูลญี่ปุ่น" ในจีนลดลงอย่างรวดเร็วถึง 40% และคาดว่าคงจะลดลงอย่างต่อเนื่อง
การกลับสู่ภูมิภาคเอเชียของวอชิงตัน จะมองเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากประสงค์จะทำให้ประเทศต่อประเทศในเอเชียแปซิฟิก "ทะเลาะ" กัน เฉกเช่นกับจีน-ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเป็น "เหยื่อ" รายแรก และเป็น "เบี้ย" ตัวหนึ่งบนกระดานของสหรัฐ นี่คือแผนยุทธศาสตร์ "เสี้ยมเขาควายให้ชนกัน" เพราะเจตนาไม่บกพร่อง
ในที่สุดญี่ปุ่นก็ต้องเจ็บหนัก เมื่อขาดจีน ญี่ปุ่นก็ต้องหันไปหา "ที่พึ่ง" ใหม่คือ "สหรัฐ" และสหรัฐก็หวังจะได้เป็น "ผู้ชนะสิบทิศ"
แต่งานนี้ ทั้งสหรัฐและญี่ปุ่นล้วนได้ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด ผิดพลาดอย่างร้ายแรง และอาจร้ายแรงถึงขั้น "โคม่า"
ถ้าความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นถึงขั้นเกิดสงคราม สหรัฐต้องตกอยู่ในภาวะที่กระอักกระอ่วน เพราะว่า ถ้าสหรัฐไม่ช่วยเหลือญี่ปุ่น แลดูไม่มีสปิริต แต่ถ้าจะเข้าสู่สนามรบร่วมกับญี่ปุ่น เป็นการฝ่าฝืนจิตใจของคนอเมริกันที่ไม่ต้องการให้รัฐบาลทำสงคราม เพราะคนอเมริกันเอือมระอาอย่างยิ่งกับการทำสงครามที่อัฟกานิสถานและอิรักและความเอือมระอาก็ยังคาอยู่ในใจมิเสื่อมคลาย
อีกประการหนึ่งถ้าสหรัฐร่วมกับญี่ปุ่นทำสงครามกับจีนเพื่อแย่งชิง"เกาะเตี้ยวอี๋" ย่อมเป็นเรื่องที่ทำลายศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของสหรัฐ เพราะเป็นเรื่อง "ผิดฝั่งผิดฝา"
บัดนี้ ความตึงเครียดการแย่งชิง "เกาะเตี้ยวอี๋" มีความรุนแรงขึ้นวันต่อวัน มีเหตุการณ์ในเชิงสัญลักษณ์บ่งบอกว่า รัฐบาลญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลังทหาร เพื่อหวังให้คนญี่ปุ่นที่เป็นฝ่าย "ขวาจัด" สนับสนุน เพื่อ "ต่ออายุ" ของรัฐบาล
แต่ความเสื่อมก็จะมาเยือน "พรรคประชาธิปไตย" ของ "นายกฯ โนดะ" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากการสำรวจประชามติของ NHK ปรากฏว่าเหตุการณ์ "ซื้อเกาะ" ทำให้ความนิยมของ "พรรคประชาธิปไตย" ตกฮวบถึง 14% ในขณะที่ความนิยมของ "พรรคแอลดีพี" ซึ่งเป็นพรรคตรงข้ามกันได้พุ่งขึ้นอย่างผิดหูผิดตา จนกลายเป็นพรรค "เบอร์ 1" ของญี่ปุ่นในขณะนี้
ส่วนการสำรวจประชามติของ น.ส.พ. Asahi Shimbun ปรากฏว่า คะแนนสนับสนุน "โนดะ" ตกต่ำถึง 19 % ถือว่าต่ำสุดในรอบ 1 ปีที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
วันนี้ของ "โนดะ" อยู่ในภาวะที่อันตรายสุดยิ่ง นอกจากประเด็นการ "ซื้อเกาะ" และปัญหา "แย่งเกาะ" กับเกาหลี และรัสเซีย ยังมีเรื่องปรับขึ้นภาษีการขาย ไฟฟ้านิวเคลียร์ ฯลฯ
ล้วนเป็นปัญหาหืดขึ้นคอ
"นายกฯ โนดะ" เสียรังวัด "พรรคประชาธิปไตย" เสียเครดิต ไม่ว่าจะไปที่มุมไหนของญี่ปุ่น จะได้ยินแต่เสียงด่าเสียงนินทา จนกลายเป็นเพลงฮิตยอดนิยมของประเทศ
อายุการเป็นนายกรัฐมนตรีของ "โยชิฮิโกะ โนดะ" สั้นลง
ในทางพุทธศาสนาให้คติว่า บุคคลที่ไม่กล้าตัดสินใจ และไม่ทำอะไรเลย เป็นความล้มเหลว แต่ถ้า "ตัดสินใจผิดพลาด" ก็คือ "ล้มละลาย"
ในทางนิตินัย บุคคล "ล้มละลาย" ถือเสมือนคนตายไปแล้ว ทำนิติกรรมไม่ได้
การตัดสินใจ "ซื้อเกาะ" ของ "โยชิฮิโกะ โนดะ" นายกรัฐมนตรี ก็คือการ "ล้มละลาย" เพราะเกิดจากการ "ตัดสินใจผิดพลาด" ที่เกิดจากความจงใจ เพราะเจตนาสมบูรณ์
ฉะนั้น ผลจากการซื้อเกาะ ก็คือ "อัตวินิบาตกรรม"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น